ถึงเวลาปลดล็อค”วัยเกษียณไทย”
จากแง่มุมปัญหาและข้อเสนอแนะของตัวแทน ผู้สูงอายุ และแรงงานผู้สูงอายุทั่วประเทศ พร้อมด้วย นักวิชาการที่ได้เข้าร่วมในเวทีนโยบายสาธารณะประเด็น "มาตรการส่งเสริมการทำงานต่อเนื่องของผู้สูงอายุ" จัดโดย มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงแรงงาน และ สำนักงานคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) เพื่อปลดล็อคอายุเกษียณของแรงงานไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้
โดยหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาสรุปได้ว่า มาจากกรณีที่ผู้สูงวัยของไทยถูกกำหนดให้พ้นจากราชการเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญ พ.ศ. 2494 ได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถืออายุ 60 ปี เป็นตัวกำหนดความเป็นผู้สูงอายุมาช้านาน
ส่วนภาคเอกชน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายกำหนดอายุเกษียณอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง แต่เพราะกฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุในการรับสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมกรณีชราภาพไว้ที่ 55 ปี จุดนี้จึงมักถูกนำมาใช้อ้างอิงเป็นอายุเกษียณสำหรับแรงงานในภาคเอกชน ซึ่งกลายเป็นข้อกำหนดที่ทำให้แรงงานภาคเอกชนขาดความเท่าเทียมเมื่อเทียบกับภาครัฐที่ยุติการทำงานที่อายุ 60 ปี
เมื่อตกผลึกและกะเทาะออกมาเป็นแนวทางการแก้ปัญหา พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ รักษาการเลขา มส.ผส. ในฐานะหัวเรือใหญ่ที่ขับเคลื่อนประเด็นการปลดล็อควัยเกษียณให้คำแนะนำว่า อันดับแรกควรขยายอายุเกษียณภาครัฐเป็น 65-70 ปี สำหรับประเภทงานที่ใช้วิชาการระดับสูง เช่น นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนงานที่ใช้กำลังกายหนักหรืองานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ขับเครื่องบิน ควบคุมจราจร ทหาร ควรยกเว้นให้เกษียณอายุได้เร็วขึ้นที่ 55 ปี หรือให้แรงงานสามารถตัดสินใจเลือกเองว่าจะเกษียณอายุหรือไม่เมื่อทำงานจนถึงอายุ 55 ปี โดยทำให้เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้สถาบันกลางหรือสถาบันอิสระจัดทำระบบประเมินสุขภาพและประสิทธิภาพในการทำงานเมื่อผู้ปฏิบัติงานอายุ 55 ปี ขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายของแต่ละคนเสื่อมวัยไม่เหมือนกัน หากไม่ผ่านประเมินก็ให้เกษียณอายุก่อนกำหนดได้
พญ.ลัดดากล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ภาครัฐและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ควรเพิ่มแรงจูงใจให้เกิดการจ้างงานในตลาดแรงงานสูงวัยด้วยมาตรการต่างๆ เช่น สร้าง "สถานประกอบการจ้างแรงงานผู้สูงอายุต้นแบบ" เพื่อเป็นตัวอย่างแก่สถานประกอบการอื่นๆ โดยมีกลไกให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือการให้รางวัลยกย่องเชิดชูแก่หน่วยงานหรือองค์กร ที่ให้ความสำคัญต่อการจ้างงานของแรงงานผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันก็ควรมีระบบบำเหน็จบำนาญหรือประกันสังคม ที่เอื้อต่อการจูงใจให้กับแรงงานผู้สูงอายุในการทำงานต่อ นอกจากนี้ ยังต้องสื่อสารให้ลูกจ้างรับรู้ถึงคุณสมบัติของแรงงานผู้สูงอายุที่นายจ้างต้องการ พร้อมไปกับการสร้างอาชีพที่รองรับการจ้างงานผู้สูงอายุ
"ในส่วนของ ภาคเอกชน นายจ้างสามารถช่วยส่งเสริมให้การขยายอายุเกษียณในสังคมไทยเกิดขึ้นได้จริง คือการการจัดหาตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมกับคนวัยเกษียณ เช่น ปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานให้เบาลง เพื่อให้แรงงานยังสามารถทำงานอยู่ในองค์กรเดิมได้ เท่ากับว่านายจ้างไม่ขาดคน ลูกจ้างสูงวัยก็มีรายได้ไว้ใช้จ่ายในการครองชีพ ที่สำคัญคือต้องจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการทำงานของผู้สูงอายุ มีสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่เอื้อต่อแรงงานผู้สูงอายุ เช่น ระบบรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ แต่ให้คงหลักคิดสำคัญคือ พร้อมกำหนดวัฒนธรรมองค์กรใหม่ มองว่าแรงงานผู้สูงอายุเป็นแรงงานที่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับแรงงานอื่นๆ"รักษาการเลขา มส.ผส. แจงเพิ่ม
ภาคชุมชนและสังคม ก็สามารถช่วยให้แรงงานผู้สูงอายุมีงานทำได้เช่นเดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ พญ.ลัดดาบอกว่า ท้องถิ่นสามารถส่งเสริมอาชีพที่เหมาะกับผู้สูงอายุได้ เช่นมัคคุเทศก์อาวุโส ซึ่งผู้สูงอายุ
จะมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เมื่อเชื่อมโยงกับกระทรวงการท่องเที่ยว และสมาคมมัคคุเทศก์ก็จะได้ไกด์ที่มีคุณภาพ การพัฒนาโรงเรียนผู้นำผู้สูงอายุ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถพัฒนาศักยภาพองค์กรผู้สูงอายุ หรือให้ความสำคัญกับชมรมผู้สูงอายุ โดยร่วมจัดกิจกรรมเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักดิ์ศรีเป็นต้น
"ถึงเวลาต้องเปลี่ยนทัศนคติสังคมไทยที่มองว่าผู้สูงวัยทำงานไม่ได้ เพราะในประเทศญี่ปุ่นอายุเกษียณคือ 67 ปี แต่ของไทยให้ผู้สูงวัยเกษียณตั้งแต่อายุ 55 ปี โดยที่ค่าเฉลี่ยอายุขัยของคนไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 74 ปี อีกทั้งผู้สูงวัยส่วนมากเก็บออมเงินไว้ใช้หลังเกษียณพอเลี้ยงชีพได้แค่ราว 10 ปี เท่ากับว่าอีก 9-10 ปีที่เหลือ คนแก่ในสังคมไทยต้องอยู่อย่างยากลำบาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยกว่าร้อยละ 58 ถูกผลักให้เป็นแรงงานนอกระบบเพราะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ที่สำคัญผู้สูงวัย 2 ใน 3 ให้ความเห็นว่าคนแก่ยังควรทำงาน และเห็นว่าการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำอย่างเหมาะสมเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก" รักษาการเลขา มส.ผส.ระบุ
ขณะที่เสียงสะท้อนจาก ลุงจันทร์ น้อยบุตร วัย 75 ผู้สูงวัยจากเขตวังทองหลาง กทม. บนเวทีนโยบายสาธารณะฯ เพื่อผู้สูงอายุในครั้งนี้ว่า อยากให้รัฐเข้ามาช่วยอุดหนุนทุนเพื่อประกอบอาชีพให้ผู้สูงวัย นอกเหนือไปจากเบี้ยยังชีพคนชราเดือนละ 600 บาท ซึ่งเป็นการต่อยอดภูมิปัญญาพื้นที่บ้านที่มีอยู่ในตัว ให้กลายเป็นอาชีพหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว อีกทั้งยังเป็นการช่วยอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ให้สูญหาย
"ทุกวันนี้ตาพิสูจน์ให้คนที่เคยพูดสบประมาทว่าแก่ขนาดนี้จะทำอะไรกินได้ ไปตรงไหนก็ไม่มีใครจ้าง ให้เขาได้รู้ว่าหากคนแก่มีความพยายามและลงมือทำจริงจัง ก็สามารถมีอาชีพเลี้ยงตัวได้ ซึ่งของตาเองได้รื้อฟื้นการทำพิณอีสานที่เคยทำเล่นเองเมื่อตอนเด็ก ๆ ขึ้นมา โดยมีลูกศิษย์เข้ามาช่วยปรับประยุกต์ตัวโน๊ตให้ได้มาตรฐานมากขึ้น จนปัจจุบันกลายเป็นสินค้าชิ้นเอกในพื้นที่ขายราคาตัวละ 3,000-5,000 บาท ซึ่งขายได้ 100 กว่าตัวแล้ว ก็ปลดหนี้ปลดสินและเลี้ยงครอบครัวมาจนทุกวันนี้"ลุงจันทร์กล่าว ด้านภรรยาวัย 65 ป้าทองล้วน น้อยบุตร กล่าวว่า ปกติแล้วผู้สูงวัยในสังคมไทยหลายคนยังสนุกและมีความสุขกับการทำงานหรือมีงานให้ทำ ซึ่ง
ขอยืนยันว่าพวกเราต้องการอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ให้ลูกหลานเห็นว่าเราไม่ได้เป็นภาะ และสามารถเป็นที่พึ่งในการให้คำปรึกษาแก่พวกเขาได้ ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าทั้ง "ภาครัฐ" "เอกชน"และ "ชุมชน" จะกล้าหยิบข้อเสนอจากเวทีนี้ ไปริเริ่มลงมือใช้อย่างจริงจังเพื่อคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสร้างที่ยืนในสังคมอย่างมีเกียรติให้บุคคลผู้ทรงคุณค่าอย่าง "ผู้สูงวัย" เมื่อใดและอย่างไร?!.
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต