ตั้งสติ เดินหนี เลี่ยงความรุนแรงในครอบครัว
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ผู้ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต ให้คำแนะนำว่า หัวใจของการสื่อสารระหว่างกันคือไม่สื่อสารต่อกันระหว่างที่ยังมีอารมณ์โกรธ เพราะจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ การรู้จักทักษะบรรเทาความโกรธของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย โดยต้องหาวิธีคลายเครียดให้เหมาะสมกับตัวเอง เช่น การนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม หรือนับ 1-10
"ที่สำคัญคือเมื่อโกรธกันให้เดินออกจากปัญหาก่อน เพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์โกรธอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เกิดความรุนแรง เมื่อเดินออกจากความโกรธต้องตั้งสติและหยุดคิดเรื่องเดิมเพื่อให้อารมณ์ตัวเองบรรเทาลง ก่อนจะพูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่ดีกว่าเดิมจึงจะหยุดความรุนแรงได้"
ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวต้องแยกปัญหาเป็นสองแบบเพื่อแก้ปัญหาได้ตรงจุด คือ การใช้ความรุนแรงเนื่องมาจากปัญหาความเจ็บป่วยทางจิตใจ จากการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติด และโรคทางจิตเวช เช่น อาการไบโพลาร์หรือบุคลิกภาพแปรปรวน หรือโรคทางจิตเวชอื่นๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้ โดยพบว่าครอบครัวที่เกิดปัญหาความรุนแรงภายใต้ปัญหาเหล่านี้มีสัดส่วนอยู่ประมาณร้อยละ 40 ควรได้รับการบำบัดรักษา
ขณะที่ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอีกร้อยละ 60 เป็นปัญหาสะสมที่เกิดจากทั้งการที่ไม่สามารถจัดการความเครียดได้อย่างถูกต้อง และค่านิยมผู้ชายเป็นใหญ่ เหยียดหยามผู้หญิง
การแก้ไขปัญหาความรุนแรงจึงต้องแยกให้ได้ หากพิจารณาแล้วว่าเกิดจากลักษณะค่านิยมส่วนตัวที่ไม่สามารถแก้ปัญหา เช่น เมื่อสร้างความรุนแรงแล้วไม่รู้สึกผิด ไม่เห็นว่าเป็นปัญหา แม้จะมีการพูดจากันแล้วก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ มองไม่เห็นอนาคตในการอยู่ร่วมกัน ก็ต้องแยกตัว หากยังมีความรู้สึกสำนึกผิด ปฏิบัติตัวดีขึ้นก็ยังมีหนทางกลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้
ด้าน ฐาณิชชา ลิ้มพานิช ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่าปัญหาครอบครัวเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ความไม่เข้าใจกัน ทำให้เกิดอารมณ์ ซึ่งแสดงออกด้วยท่าทาง วาจา ไปจนถึงการใช้ความรุนแรง การที่คนสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน ต้องมองว่าทั้งสองต่างถูกเลี้ยงดูมาคนละแบบ แรกๆ เมื่ออยู่ด้วยกันอาจยังไม่เห็นนิสัยลึกๆ ทำให้เกิดความคาดหวัง ฉะนั้นอะไรที่ทิ้งไปได้ก็ต้องไม่นำเข้ามาใช้กับครอบครัว
"ปัจจุบันความรุนแรงเกิดขึ้นได้ง่าย เนื่องจากสื่อต่างๆ หรือโซเชี่ยลมีเดียที่ทำให้โลกมีความรวดเร็วขึ้น ทำให้คนขาดความยั้งคิด หลายคู่รอที่จะใช้เหตุผลไม่ได้จึงเกิดการใช้อารมณ์ อยากให้คนที่มาจากต่างที่กันลดความคาดหวัง ระงับสติอารมณ์ เอาใจเขามาใส่ใจเรา สำรวจตัวเอง ก่อนพูดจาประชดหรือจะใช้ความรุนแรงให้คิดก่อน เราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่มากระทบเรา แต่เราสามารถระงับตัวเองก่อนจะทำสิ่งต่างๆ ได้ ถ้าเราทำได้จะลดความรุนแรงได้"
ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ ก่อนจะใช้ความรุนแรงต่อกัน อยากให้ลองอยู่ห่างกันชั่วคราว เพื่อให้เวลาคิดทบทวนว่าเราอยู่ด้วยกันด้วยความรักหรือไม่ สามารถปรับความเข้าใจและประคองความรักต่อไปได้หรือไม่ หรือให้ผู้ใหญ่เข้าไปพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจ
ศิริพร สะโครบาเนค ประธานมูลนิธิผู้หญิง กล่าวว่าสถิติความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากคนอายุน้อยๆ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยไม่มีพื้นฐานการสร้างความเข้าใจที่ดีพอ ทำให้เกิดปัญหาขึ้น
"คนอยู่ร่วมกันต้องใจเย็น แต่ตอนนี้รู้สึกว่าสังคมรวดเร็ว การพูดจาไม่เอื้อให้เกิดความอ่อนโยน อาจจะเนื่องด้วยเศรษฐกิจที่บีบรัด ทำให้คนไม่ค่อยเอื้ออาทรกัน บางครอบครัวมีการฆ่าตัวตายเพราะไม่ยับยั้งชั่งใจ เกิดปัญหาไม่รู้จะไปพึ่งใคร รวมไปถึงปัญหาสภาพแวดล้อม การย้ายถิ่น เมื่อครอบครัวอ่อนแอสังคมก็อ่อนแอไปด้วย อยากให้หน่วยงานภาครัฐเข้าช่วยเหลือ"
ขณะที่ จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ให้มุมมองว่าผู้ชายมักเคยชินกับการใช้อำนาจคนเดียวในบ้านและการตัดสินใจด้วยตัวเอง จนบางครั้งผู้หญิงไม่มีโอกาสสะท้อนปัญหา หรือบางคนจะกลัวเมื่อสะท้อนและแสดงความคิดเห็นออกไปแล้วผู้ชายไม่เข้าใจ นำไปสู่การใช้อำนาจและความรุนแรง
"ถ้าเป็นวัยรุ่นที่ไม่มีประสบการณ์การใช้ชีวิตร่วมกันมาก่อน เช่น กรณีฝ่ายหญิงน้อยใจสามีไม่ช่วยชงนม เลยประชดอุ้มลูกเดินลงคลอง แต่ทำลูกหลุดมือจมดับที่จ.ปทุมธานีนั้น เกิดจากประสบการณ์การใช้ชีวิตคู่มีน้อย ทำให้วุฒิภาวะในการตัดสินใจน้อย ผู้หญิงที่มีลูกครั้งแรกจะมีภาวะโดดเดี่ยวและซึมเศร้า เมื่อคนดูแลและฝ่ายผู้ชายไม่เข้าใจแล้วไปพูดจาไม่ดีจะยิ่งทำให้ผู้หญิงน้อยใจมากยิ่งขึ้น คนใกล้ชิดต้องดูแลและใส่ใจให้มากยิ่งขึ้น"
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต