ดูแล “เสาหลักครอบครัว-ชุมชน”
“ผลงานโบว์แดง” อบต.บางแก้ว
โครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ผู้สูงอายุดูแลกันเอง ของสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่พยายามผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ สานต่อโครงการโดยรับไปดำเนินการเอง หลังจากที่จะหมดโครงการสิ้นปีนี้
และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม เป็น อบต.ที่ให้ความร่วมมืออย่างดี และน่าจะรับช่วงดำเนินการต่อไปในอนาคต
อบต.บางแก้ว จึงเป็นแบบอย่างหนึ่งของการดูแลผู้สูงอายุ ที่มองผู้สูงอายุเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน“นายประกอบ แสงจันทร์” นายก อบต.บางแก้ว ผู้นำการดูแลผู้สูงอายุ แห่ง จ.สมุทรสงคราม มีแรงบันดาลใจจากพ่อ คือ “นายเปลี่ยน แสงจันทร์” อายุ 82 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 ต.นางตะเคียน อ.เมืองสมุทรสงคราม ที่ทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านลูกบ้านและลูกตัวเองมานานหลายสิบปี มี “นางแก้ว แสงจันทร์” เป็นคู่ชีวิตช่วยดูแลลูกๆ ตลอดมา ก่อนที่จะย้ายครอบครัวมาอยู่หมู่ 8 ต.บางแก้ว จวบปัจจุบัน ด้วยความรัก เอาใจใส่ ต่อลูกๆ ครอบครัว และลูกบ้าน เป็นแบบอย่างที่ทำให้ได้ตระหนักถึงความสำคัญของพ่อแม่ กับคุณค่าของผู้สูงอายุ นายประกอบหาโอกาสตอบแทนพระคุณ ทั้งวันเกิดพ่อแม่ วันปีใหม่ สงกรานต์ วันแม่ วันพ่อแห่งชาติ
แต่ก็เป็นเรื่องครอบครัว ไม่ครอบคลุมถึงชุมชน และเมื่อโอกาสเปิดลงเล่นการเมือง นายประกอบ ได้เป็นสมาชิกสภา อบต.บางแก้ว เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2538 และได้รับเลือกเป็นประธานสภา มี “นายโยธิน ตันประเสริฐ” เป็น นายก อบต. งานดูแลผู้สูงอายุจึงขยายขอบเขตกว้างขวางมากขึ้น
โดยพื้นที่ ต.บางแก้ว มี 10 หมู่บ้าน ประชากร 8,204 คน เป็นชาย 3,989 เป็นหญิง 4,215 คน มีอาชีพทำประมงชายฝั่ง เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทำนาเกลือ ค้าขาย และรับจ้าง ส่วนใหญ่ตอนกลางวัน เหลือแต่ผู้สูงอายุอยู่ดูแลบ้านและเลี้องดูเด็กเล็ก ก็ยิ่งทำให้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุชัดเจนยิ่งขึ้น งานพัฒนาส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุจึงถูกกำหนดขึ้น
โดยเริ่มจากการจัดกิจกรรมทำบุญตักบาตร เลี้ยงพระ รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุทั้งตำบล ในวันสงกรานต์ วันปีใหม่ ที่ อบต.บางแก้วจัดเป็นประจำ รวมทั้งการเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุทุกหลังคาเรือน ทุกหมู่บ้าน
ช่วงปลาย ปี 2547 “นายโยธิน ตันประเสริฐ” นายก อบต.บางแก้ว ได้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อไปสมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.สมุทรสงคราม สภาจึงเลือกนายประกอบ เป็น นายก อบต.บางแก้ว คนใหม่ งานดูแลผู้สูงอายุก็ยิ่งได้รับการพัฒนามากยิ่งขึ้น นโยบายการดูแลผู้สุงอายุมีการกำหนดขึ้น โดยออกเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุทุกครัวเรือน มีการจัดเวทีประชาคม ประชุมนิเทศ และติดตามผลการปฏิบัติงานของ อบต. รับฟังปัญหา การเสนอ ข้อคิดเห็นของประชาชน ทุกวันที่ 20 ของเดือน และรวบรวมเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป
และทันทีที่ อบต.บางแก้ว ได้รับการถ่ายโอนกิจการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพ ให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ติดเชื้อเอดส์ จากกรมประชาสงเคราะห์ ในปี 2546 เห็นว่าจำนวนผู้สูงอายุที่ได้รับเงินสงเคราะห์ทั้ง 10 หมู่บ้าน มี 68 คน ในขณะที่ผู้สูงอายุทั้งตำบลมีมากกว่า 900 คน จึงจัดสรรงบประมาณ ในปี 2547 เพิ่มขึ้นอีกหมู่บ้านละ 5 คน รวม 50 คน รวมกับของเดิม เป็น 118 คน โดยยึดหลักเกณฑ์พิจารณาการจ่ายเงินของกรมประชาสงเคราะห์เป็นหลัก
นายประกอบกล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2550 ได้จัดสรรงบประมาณเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอีกหมู่บ้านละ 10 คน รวม 100 คน โดยพิจารณาจ่ายตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อผู้สูงอายุที่มีความต้องการขอรับการสงเคราะห์ เพราะติดขัดในกฎเกณฑ์ที่ราชการกำหนด
แผนพัฒนาตำบลประจำปี 2551 ฝ่ายบริหาร อบต.บางแก้ว จึงได้เสนอร่าง ข้อบัญญัติงบประมาณ เพิ่มจำนวนผู้สูงอายุเพื่อให้ได้รับเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุ ใน ต.บางแก้ว ทุกคนที่มีอายุครบ 70 ปี โดยนำความต้องการจากทำประชาคมทุกหมู่บ้าน ให้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ ว่าพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นเสาหลักของครอบครัวและของชุมชน
“งบประมาณ ปี 2552 ผ่านความเห็นชอบของสภา อบต.ไปอย่างราบรื่น ทำให้เบี้ยยังชีพของผู้สูงอายุ ต.บางแก้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 ซึ่งผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพเดิม กับผู้พิการและติดเชื้อเอดส์ 168 คน และผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 70 ปี มีจำนวนรวม 444 คน ที่ได้รับเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพ ภายหลังที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีนโยบายให้เงินสงเคราะห์แก่ผู้สูงอายุ ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปแล้ว อบต.บางแก้ว จะมีผู้สูงอายุได้รับเงินสงเคราะห์เพื่อยังชีพเพิ่มขึ้นเป็น 900 คน” นายประกอบกล่าวอย่างภาคภูมิใจที่ได้ดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ตามที่ตั้งหวังไว้ ก่อนทิ้งท้ายว่า
“งานทุกอย่างทำคนเดียวสำเร็จยาก การมีส่วนร่วม การร่วมด้วยช่วยกันทำงาน จะทำให้งานทุกอย่างเดินหน้าสำเร็จได้”
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
update: 09-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร