ดูแลบุตรหลาน ช่วงเทศกาลลอยกระทง
สคร.7 อุบลราชธานี เตือนผู้ปกครองดูแลบุตรหลานป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุการจมน้ำ ช่วงเทศกาลลอยกระทง
วันนี้ (3 พ.ย.57) นายแพทย์ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี (สคร.7) กล่าวว่า ในที่ 6 พฤศจิกายน 2557 ในปีนี้ตรงกับวันลอยกระทง เพื่อป้องกันภัยอันตรายที่ประชาชนควรตระหนัก และเพิ่มความระมัดระวัง คือภัยจากการจมน้ำ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่เสี่ยงต่อการจมน้ำ เนื่องจากเด็กมักจะอยู่ใกล้แหล่งน้ำเพื่อลอยกระทง มีโอกาสที่จะลื่นพลัดตกน้ำลงไปได้ สำหรับเหตุการณ์ที่พบบ่อย คือ การลงไปเก็บเงินในกระทง ขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่จะมีความเสี่ยงเกิดขึ้น จากการดื่มสุราและลงเล่นน้ำ
จากการวิเคราะห์ข้อมูล ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2547-2557) พบว่า ในช่วงเทศกาลลอยกระทง คือ ก่อนวันลอยกระทง วันลอยกระทง และหลังวันลอยกระทง จะมีคนจมน้ำมากถึง 436 คน เป็นเด็ก 150 คน และกลุ่มเด็กที่เสียชีวิตมากที่สุด คือ ช่วงอายุ 5-9 ปี
สำหรับประชาชนที่จะพาบุตรหลานไปร่วมงานประเพณีลอยกระทง ขอให้เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น และหากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ควรดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำตามลำพัง หรือยืนใกล้บริเวณขอบบ่อ ขอบสระน้ำ เพราะอาจพลัดตกลงไปในน้ำได้ ส่วนใหญ่ที่พบเป็นประจำทุกปี คือ เด็กลงไปเก็บกระทง หรือเงินในกระทงที่ลอยในน้ำ ผู้ปกครองควรห้ามไม่ปล่อยให้เด็กลงไปเก็บกระทงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจมน้ำ เนื่องจากเป็นตะคริว หลังจากแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานและสภาพอากาศหนาวเย็น ขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลงน้ำเนื่องจากจะเสี่ยงเป็นตะคริวได้สูง หรือกรณีที่ผู้ปกครองนำบุตรหลานไปนั่งในร้านอาหารด้วย ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ให้คลาดสายตา โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี ต้องอยู่ในระยะที่คว้าถึง การหันไปทำกิจกรรมต่างๆ เพียงชั่วขณะ โดยปล่อยให้เด็กลอยกระทงตามลำพังไม่ว่าจะเป็นในกะละมัง หรือถังน้ำที่บ้านก็ตาม อาจทำให้เด็กจมน้ำเสียชีวิตได้
ทั้งนี้ หากพบคนตกน้ำ ต้องรู้วิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง ห้ามกระโดดลงไปช่วยอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้ถูกกอดรัดและจมน้ำเสียชีวิตพร้อมกัน การช่วยเหลือที่ถูกวิธี ขอให้ยึดหลัก ตะโกน โยน ยื่น โดยเรียกให้ผู้ที่ว่ายน้ำเป็นมาช่วย หรือหาอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวมาช่วยเหลือ เช่น ไม้ ถังแกลลอนเปล่า เชือก หรือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวได้ หากมีข้อสงสัยในวิธีปฏิบัติติดต่อสอบถามได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์กระทรวงสาธารณสุขโทร.1422 ได้ตลอด นพ.ศรายุธ กล่าว
ที่มา : เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต