ชี้เป้าภาระโรค ลดความเสี่ยงการตายและภาระโรคของแม่ เวทีสัมมนาออนไลน์ “ชี้เป้าภาระโรค: ลดเสี่ยง เตรียมพร้อมเพื่อลูกรัก”

ที่มา : เวทีสัมมนาออนไลน์ “ชี้เป้าภาระโรค: ลดเสี่ยง เตรียมพร้อมเพื่อลูกรัก” จัดโดยโครงการเสริมสร้างศักยภาพการศึกษาดัชนีภาระโรคแห่งประเทศไทย (BOD Thailand) สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กระทรวงสาธารณสุข วันที่ 7 สิงหาคม 2566

                    ผลการศึกษาในกลุ่มแม่พบว่าภาพรวมการตายของแม่ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 37 ต่อแสนการเกิด เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ที่มีอัตราการเสียชีวิตของแม่ที่ 3.8 ต่อการเกิดมีชีพแสนคน จึงยังถือว่าไทยมีอัตราการเสียชีวิตของแม่สูง

                    เฉพาะปี 2564 มีแม่เสียชีวิตในระหว่างตั้งครรภ์และไม่เกิน 42 วันหลังคลอด (maternal death) 203 ราย หรือ 38.5 ต่อการเกิดมีชีพแสนคน สาเหตุสำคัญเกิดจากการตกเลือด รองลงมาคือความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ส่วนการเสียชีวิตของแม่ในปี 2564 ที่ไม่เกี่ยวกับภาวะการตั้งครรภ์พบว่ามาจากการติดเชื้อโควิด 19 ถึงร้อยละ 70 รองลงมาโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งและโรคอื่นๆ

                    โรคที่เกี่ยวกับสูติกรรมเป็นสาเหตุหลักของการตายก่อนวัยอันควรของแม่ คิดเป็นร้อยละ 66.3 ของการตายในกลุ่มแม่ เมื่อคำนวณในภาพรวมจะพบว่าการสูญเสียจากการตายก่อนวัยอันควรของแม่ในประเทศไทยตัวเลขรวมสูงถึง 17,000 ปี และมีการสูญเสียจากการเจ็บป่วยและพิการ (YLD) รวมสูงถึง 25,000 ปี โดยกลุ่มแม่ที่อายุน้อยกว่า15 ปี มีปัจจัยเสี่ยงการแท้ง กลุ่มแม่ที่อายุมากกว่า 15 ปีขึ้นปี พบว่าสาเหตุหลักของการสูญเสียจากการเจ็บป่วยและพิการเกิดจากการตกเลือด รองลงมาคือการแท้ง 

สุขภาพแม่และเด็กไม่ใช่แค่เรื่องของโรงพยาบาลและสาธารณสุข

                    “การเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวเป็นเรื่องที่ต้องขับเคลื่อนเป็นระบบ ไม่ใช่เรื่องของโรงพยาบาลหรือระบบสาธารณสุขอย่างเดียว ที่เราไม่สามารถขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้สำเร็จเพราะกติกาในส่วนอื่นๆ ที่ประเทศวางไว้ เช่น แม่ต้องกลับไปทำงาน การหาคนเลี้ยงลูกก็ลำบาก แม่บางคนยังป้อนนมลูกไม่เป็น ระบบของ สปสช. ก็ให้แม่และเด็กอยู่โรงพยาบาลได้แค่ 2 วันหลังคลอด เรื่องพวกนี้ต้องปรับให้เป็นระบบ การออกนโยบายต่างๆ ต้องคำนึงถึงเรื่องสาธารณสุขด้วย” ศาสตราจารย์คลินิก พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยกล่าว เพื่อแสดงให้เห็นว่าปัญหาสุขภาวะแม่และเด็กไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำงานของหน่วยงานในระบบสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว นพ. โอฬาริก มุสิกวงศ์ ผู้อำนวยการกองอนามัยมารดาและทารก กรมอนามัย เห็นด้วยกับ พญ.ศิราภรณ์

                    “ตลอดช่วงของการตั้งครรภ์  แม่จะอยู่กับโรงพยาบาลแค่เดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงของการไปฝากครรภ์ ที่เหลืออยู่นอกโรงพยาบาล สิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพแม่และเด็กคือความร่วมมือที่เกิดขึ้นนอกโรงพยาบาล”

                    ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าในการตั้งครรภ์ 1 ครั้ง แม่อาจไปพบหมอต่างโรงพยาบาลกันด้วย ซึ่งทำให้ข้อมูลการตั้งครรภ์แต่ละครั้งจะมีข้อมูลของแม่และเด็กในครรภ์กระจายกันในหลายโรงพยาบาล

                    “วันดีคืนดีก็อาจมีแม่มาคลอดกับเรา โดยที่เราไม่เคยรู้ว่าแม่มีประวัติอะไร มีภาวะเลือดจางหรือไม่ มีภาวะคุกคามอะไรหรือเปล่า” นพ.โอฬาริกกล่าว

                    ผอ.กองอนามัยมารดาและทารก กล่าวว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในระบบสาธารณสุข และนอกระบบสาธารณสุข สร้างความตระหนักร่วมของสังคมเพื่อเอื้อต่อการดูแลสุขภาพแม่และเด็กอย่างเป็นระบบและครบวงจร รวมทั้งการมีระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกัน

                    ศ.ดร.พญ.ทิพวรรณ เลียบสื่อตระกูล เสนอแนวทางการดูแลและป้องกันโรค ด้วยวิธีการที่มาจากหลักฐานเชิงประจักษ์  ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “การแพทย์เชิงประจักษ์” เช่น องค์การอนามัยโลกได้มีแนวทางมาตรฐานในการป้องกันและดูแลภาวะแทรกซ้อนสำคัญของการตั้งครรภ์ ซึ่งประกอบด้วย การให้ยา และการรักษา อย่างเป็นทีม (multidisciplinary)  โดยการมีแพทย์ พยาบาล หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมจะให้การรักษาอย่างทันท่วงทีและตรงกับสาเหตุนั้น ๆ และชี้ว่าควรนำ 6 เสาหลักของระบบสุขภาพ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกมาปรับใช้ในการดูแลแม่และเด็ก ได้แก่ งานบริการสุขภาพ กำลังคนด้านสุขภาพ ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ การเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น กลไกการคลังด้านสุขภาพ และภาวะผู้นำและธรรมาภิบาล

                    ปัญหาของแม่และเด็กอยู่คู่กับประเทศไทยมานาน แม้จะมีมาตรการมารับมือกับปัญหาทางเชิงรับและเชิงรุก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะปัญหานี้ถูกจัดการอย่างแยกตัวจากปัญหาอื่น ทั้งที่ในความจริง การจัดการปัญหาต้องดำเนินการอย่างเป็นองค์รวม ควบคู่กับการแก้ปัญหาสุขภาพของประชาชนในวัยอื่น และควบคู่กับภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม ดังคำกล่าวของ นพ สุวัฒน์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

                    “ลูกที่เกิดขึ้นมาไม่ใช่แค่หน้าที่แม่อย่างเดียว แต่หน้าที่พ่อ หน้าที่ทุกคนในครอบครัวและสังคม ต้องทำงานกันในระดับพื้นที่ ทำงานกับคนทุกช่วงอายุ ขณะที่เราลดหวานในเด็ก เราก็ต้องลดเค็ม ลดมันในผู้ใหญ่ด้วย ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลให้ไม่มีผู้ใหญ่อยู่เลี้ยงเด็ก”

Shares:
QR Code :
QR Code