ชี้…มือถือทำลูกในท้องเป็นไฮเปอร์
ระบุเด็ก 7 ขวบ ก็เสี่ยงเช่นกัน
ผลวิจัยพบหญิงมีครรภ์ที่ใช้โทรศัพท์มือถือมีแนวโน้มจะได้ลูกคลอดออกมาเป็นไฮเปอร์แอคทีฟ เจ้าอารมณ์ มีปัญหากับคนรอบข้าง
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า สตรีอุ้มท้องที่ใช้มือถือวันละ 2-3 ครั้งมีโอกาสเสี่ยงดังกล่าว และเด็กเล็กที่อายุยังไม่ถึง 7 ขวบก็มีโอกาสเปิดปัญหาด้วยเช่นกัน
ผลวิจัยชิ้นนี้เป็นข้อค้นพบล่าสุดเกี่ยวกับอันตรายของการใช้โทรศัพท์มือถือในหญิงมีครรภ์ หลังจากคนกลุ่มนี้ได้รับคำเตือนในหลายเรื่อง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การใช้ยาฆ่าแมลง การแพ้อาหารบางชนิด และความเครียด
โฆษกองค์การคุ้มครองสุขภาพแห่งอังกฤษ บอกว่า ข้อค้นพบนี้เป็นเรื่องไม่คาดหมาย ซึ่งผู้ใช้จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์มือถือย่างระมัดรวัง แต่ทางหน่วยงานจะไม่ถึงกับแจ้งเตือนหญิงมีครรภ์ให้งดใช้ “ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียด ปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากสาเหตุอื่นก็เป็นได้” ทั้งนี้ ทางหน่วยงานได้ออกคำเตือนแล้วว่าเด็กเล็กไม่ควรใช้มือถือ “มากเกินควร”
งานวิจัยนี้ได้ศึกษาผู้หญิงกว่า 13,000 คน และพบว่าคนที่ใช้มือถือขณะตั้งครรภ์มีโอกาสสูงขึ้น 54% ที่จะมีลูกที่มีปัญหาเรื่องพฤติกรรมต่างๆ เช่น ไฮเปอร์แอคทีฟ ปัญหาอารมณ์ และความสัมพันธ์กับคน และเด็กที่ใช้มือถือก่อนถึงอายุ 7 ขวบก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 80% ที่จะปัญหาแบบเดียวกัน
เด็กที่ใช้มือถือตั้งแต่ยังเล็กมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 25% ที่จะมีปัญหาทางอารมณ์มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 24% ที่จะมีปัญหากับเด็กคนอื่นๆ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 35% ที่จะเป็นไฮเปอร์แอคทีฟ และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 49% ที่จะมีปัญหาด้านพฤติกรรม ทั้งนี้ ยิ่งใช้มือถือมาก ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูง
ศาสตราจารย์ ไคเฟตส์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลีส หัวหน้าทีมวิจัย เคยสรุปก่อนหน้านี้ว่า การใช้โทรศัพท์มือถือไม่มีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ แต่ในการวิจัยครั้งนี้เธอพบว่า การใช้มือถือมีส่วนโยงกับการมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ต่างๆ
อย่างไรก็ดี เธอกับเพื่อนนักวิจัยอีก 2 คน ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้อาจเป็นผลจากปัจจัยอย่างอื่น เช่นการที่แม่ชอบคุยมือถือครั้งละนานๆ และยังคงทำแบบนี้แม้คลอดลูกแล้ว ทำให้มีเวลาเลี้ยงดูลูกน้อยลง
งานวิจัยหลายชิ้นเคยพบว่า เด็กที่ไม่ได้รับการดูแลเป็นเวลานานจะมีปัญหาพฤติกรรม
ผลวิจัยซึ่งทำร่วมกับมหาวิทยาลัยในเดนมาร์กชิ้นนี้ กำลังจะตีพิมพ์ในวารสาร epidemiology ฉบับเดือนกรกฎาคม
รังสีจากโทรทัศน์มือถือจะแทรกผ่านผิวหนังได้แค่ 1-2 เซนติเมตร และไปไม่ถึงเด็กในครรภ์ แต่งานวิจัยหลายชิ้นบอกว่า รังสีอาจส่งผลต่อเมาลาโทนิน ฮอร์โมนควบคุมการหลับ ซึ่งแม้จะส่งไปยังลูกผ่านทางรก
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
update 27-05-51