ชวนพ่อแม่ ‘เลิกเหล้า’ เข้าพรรษา

เพื่อครอบครัวเป็นสุข พ้นทุกข์จากเหล้า

 

ชวนพ่อแม่ ‘เลิกเหล้า’ เข้าพรรษา 

          “พ่อจ๋า…เข้าพรรษาปีที่แล้ว เป็นช่วงเวลาที่ลูกมีความสุขที่สุดเลย”

 

          “แม่จ๋า…หนูรักแม่ขึ้นอีกหลายเท่าเลย ที่เห็นแม่งดเหล้าเข้าพรรษา”

 

          เราอาจคิดไม่ถึงว่า เสียงทำนองนี้ของลูกๆ ดังขึ้นทุกสารทิศ ในหลายครอบครัวที่เคยมีคน “งดเหล้าเข้าพรรษา” ในปีที่ผ่านๆ มา แต่ถ้าเราทราบข้อมูลที่เป็นงานวิจัยของมูลนิธิเพื่อนหญิง และ รพ.รามาธิบดีแล้วก็จะไม่สงสัยในเรื่องนี้ เพราะผลงานวิจัยดังกล่าวบอกชัดเจนว่า ในครอบครัวที่มีคนดื่ม จะมีความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า เมื่อเทียบกับครอบครัวที่ไม่มีคนดื่ม

 

          ข้อมูลที่ได้จากศูนย์ปรึกษาปัญหาเลิกเหล้าของสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ก็ทำนองเดียวกันว่า ผู้ที่โทรเข้ามาสอบถามมากที่สุดคือ ผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือคนครอบครัว จะโทรมาปรึกษาว่า จะทำให้พ่อหรือแม่ที่ดื่มหยุดดื่มได้อย่างไร เพราะไม่อยากเห็นการทะเลาะวิวาทในครอบครัว เงินในครอบครัวไม่พอใช้ ฯลฯ

 

          นักดื่มเองก็อาจไม่รู้ตัวว่า การที่ได้งดเหล้า แม้เพียงช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ใครๆ เขาก็ทำกัน แต่หารู้ไม่ว่า เพียงแค่นี้ก็เป็นการนำความสุขกลับคืนมาให้ครอบครัวอย่างคาดไม่ถึง ยิ่งถ้าเลิกดื่มตลอดชีวิตได้ จะมีสิ่งดีๆ มากมายเกิดขึ้นในครอบครัว ไม่เพียงความอบอุ่นในครอบครัวที่จะกลับคืนมาแล้ว เงินในกระเป๋าของครอบครัวจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ลูกๆ ได้มีโอกาสทานอาหารพอเพียงขึ้นมีหนังสือดีๆ ให้อ่าน ฯลฯ

 

          แม้ตัวผู้ดื่มเอง ก็จะมีสุขภาพดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะน้ำเมาไม่ใช่แค่ทำให้ตับแข็งอย่างที่มักเข้าใจผิดกัน แต่มันเป็นสาเหตุของกว่า 60 โรค ตามที่องค์การอนามัยโลกเขารู้มานานแล้วและโรคที่น่ากลัวมากๆ เช่น มะเร็งในหลายระบบ สมองเสื่อม สมรรถภาพทางเพศเสื่อม โรคหัวใจ ไต ตับ ฯลฯ สรุปแล้วมันทำลายแทบทุกอวัยวะของร่างกาย แล้วเราจะไปยอมเสียเงินมากมายเพื่อทำร้ายร่างกายเราไปทำไม

 

          ประสบการณ์ของการทำงานด้านบุหรี่ของสังคมไทยซึ่งมีมายาวนานกว่าด้านน้ำเมามาก พบว่าผู้ที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้คนสูบบุหรี่เลิกสูบได้คือ คนในครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อลูกขอร้องให้เลิก หรือพ่อแม่เกิดสำนึกขึ้นมาได้เองว่า ควรเลิกเพื่อลูกประสบการณ์ของการรณรงค์ลดการดื่มน้ำเมาก็ทำนองเดียวกันลูกโดยเฉพาะที่ยังมีอายุน้อย สามารถอ้อนให้พ่อแม่เลิกดื่มน้ำเมาได้มากที่สุด จึงเป็นที่มาของการรณรงค์ “งดเหล้าเข้าพรรษา” ในปีนี้ โดยใช้แนวทางการรณรงค์ว่า “พรรษานี้..ลูกชวนพ่อแม่เลิกเหล้า”

 

          จึงขอเชิญชวน โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็ก หรือองค์กรใดๆ ที่มีงานด้าน เด็ก เยาวชน กรุณาจัดกิจกรรรมให้เด็ก เยาวชนมีบทบาทสำคัญในการชวนให้พ่อแม่งดเหล้าเข้าพรรษา เช่น การให้เรียงความ แต่งเพลง ละคร สื่อพื้นบ้าน กิจกรรมร่วมกับหมู่บ้านชุมชน ฯลฯ เพราะการชวนให้เด็กและเยาวชน ร่วมทำกิจกรรมทำนองนี้ นอกจากเป็นการช่วยให้ครอบครัวมีความสุขมากขึ้นแล้วยังเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีงาม เป็นการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ไม่ให้มากไปกว่านี้

 

เพราะปัจจุบันก็มีเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงอยู่แล้ว และอายุการเริ่มดื่มก็ลดลงเรื่อยๆ หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ใหญ่ต้องช่วยกันเปลี่ยน เด็ก และเยาวชน จาก “เหยื่อ” (ของการตลาดธุรกิจน้ำเมา) ให้มาเป็น “ผู้กระทำ” หรือ “ผู้ปฏิบัติการทางสังคม” หรือจะเรียกว่าเป็น “ฮีโร่ (hero)” ของครอบครัว และสังคมก็ว่าได้

 

          รัฐบาลลงทุนมากมายเพื่อป้องกันไข้หวัดนก หวัดหมู และทุกชนิดของหวัด ทั้งๆ ที่มีคนเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้เพียงปีละไม่กี่คน แต่น้ำเมาทำลายชีวิตของคนไทยมากที่สุด เฉพาะจากอุบัติเหตุทางถนนก็ตายกันปีละกว่าหมื่นคนแล้ว บาดเจ็บอีกเกือบล้านคน พิการอีกนับแสนคน โดยมีน้ำเมาเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด แต่รัฐบาลนี้ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้เท่าใดนัก ไม่ว่าภาคประชาชนเสนอมาตรการอะไรไป รัฐบาลก็ไม่ได้ตอบสนองใดๆ แม้แต่เรื่องที่ง่ายๆ ที่สุด ซึ่งแทบไม่มีใครคัดค้านเลย คือ การห้ามขายน้ำเมาในวันพระใหญ่ หรือวันสำคัญในพระพุทธศาสนา คือ วันวิสาขบูชา มาฆบูชา อาสาฬหบูชา และเข้าพรรษา

 

          หลายคนในรัฐบาลมักอ้างเหตุผลว่า ถ้ามีมาตรการในการควบคุมน้ำเมาจะกระทบเศรษฐกิจ โดยไม่ได้พิจารณาจากข้อมูลทางวิชาการ และข้อแนะนำของทั้งองค์การอนามัยโลก (WHO) และธนาคารโลก (World Bank) ที่ว่า ยิ่งควบคุมการดื่มน้ำเมาได้ดีเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีกับเศรษฐกิจและสังคมมากเท่านั้นหากจะกระทบเศรษฐกิจ ก็เป็นเพียงเงินในกระเป๋าของคนไม่กี่ตระกูล แต่เงินจะไหลคืนกลับไปหาคนไทยจำนวนมากที่ส่วนใหญ่มีรายได้น้อย และเป็นการกระจายรายได้ (ซึ่งไม่ควรจะเสีย) กลับคืนไปสู่คนส่วนใหญ่ของสังคม

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

 

 

Update 09-07-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: กันทิมา ลีจันทึก

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code