จากมือเล็กๆสู่พลัง `คนรุ่นใหม่`

          รถไฟสายคนรุ่นใหม่ออกเดินทางจากสถานีบางกอกน้อย ปลายทางสู่ห้องเรียนธรรมชาติโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี เพื่อพาเด็กๆ และเยาวชนไทย ไปเรียนรู้ตนเอง รู้จักผู้อื่น เคารพความหลากหลาย เพื่อพัฒนาตนเองให้เป็นคนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม


/data/content/24717/cms/e_dfjknsvxy157.jpg


          เพราะเชื่อมั่นในพลังคนหนุ่มสาว "มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม" (มอส.) จึงร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. เพื่อคัดสรรและรวบรวมผู้นำเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีพลัง มีความกระตือรือร้น สนใจ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างสรรค์สังคมเพื่อพัฒนาศักยภาพให้กลายเป็นผู้นำเยาวชนที่มีความเข้าใจในประเด็นสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะที่ดีของเด็กและเยาวชนและสังคม โดยรวมให้เป็นผู้นำเยาวชนที่พร้อมนำการเปลี่ยนแปลงทางสังคมผ่าน "โครงการพัฒนา คนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมรุ่น 2"


          สุภาวดี เพชรรัตน์ ผู้อำนวยการมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม เผยว่า การที่ มอส. ได้ทำงานเสริมสร้างคนหนุ่มสาวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมที่เป็นธรรม เท่าเทียม สันติมาตลอด 34 ปีที่ผ่านมานั้นก็เพราะทีมงานมีความเชื่อมั่นว่า พลังคนรุ่นใหม่จะนำสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ใน 3 ประเด็น คือ 1.หัวใจ เมื่อไรก็ตามที่มีสำนึก และมีหัวใจการทำงานเพื่อสังคม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถที่จะงอกงามได้ 2.ความรู้ ในเชิงวิเคราะห์สังเคราะห์ เข้าใจประเด็นปัญหาสังคม โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรม เช่น คนยากจน และ 3.การปฏิบัติ แค่หัวใจและความรู้ยังไม่พอต้องเป็นนักปฏิบัติการทางสังคมด้วย


          มอส. จึงได้เปิดพื้นที่เสริมสร้างคนหนุ่มสาวทั้งใน "ระดับประเทศ" ผ่านโครงการอาสาสมัคร แบบเต็มเวลาและไม่เต็มเวลา เช่น โครงการพัฒนา คนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม รุ่น 2 โดยรุ่นที่ 1 ได้แกนนำ 38 คน ซึ่งลงไปขยายการ ทำงานกับกลุ่มเยาวชน จำนวน 1,270 คนจาก ทุกภาคของประเทศในประเด็นต่างๆ เช่น สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชนกลุ่มชาติพันธุ์ยาเสพติดเรื่องสุขภาพทางเพศเป็นต้นและเพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างมีพลังและมีประสิทธิภาพจึงต้องมีการทำงานกับคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องในรุ่นที่ 2 ซึ่งมีเด็กและเยาวชนสมัครเข้าร่วม จำนวน 42 คน


/data/content/24717/cms/e_bcnorstu3568.jpg


          และอีกระดับ คือ การลงพื้นที่ปฏิบัติการใน "ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง" คือโครงการประสานความร่วมมือเพื่อคนรุ่นใหม่ลุ่มน้ำโขงเปิดพื้นที่พาคนรุ่นใหม่เรียนรู้ข้ามพรมแดนไปรู้จักประเทศ  เพื่อนบ้าน เพราะพลังของคนหนุ่มสาวในวันนี้ทำในประเทศอย่างเดียวไม่พอ แต่จะต้องเรียนรู้ ที่นำการแก้ไขอย่างรอบด้าน เกิดดอกออกผลไปยังประเทศต่างๆ ในลุ่มน้ำโขงและอาเซียน


          สำหรับผู้ใหญ่ใจดีที่ขอร่วมขบวนไปด้วยอย่าง เพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สสส.เผยว่าด้วยบทบาทและพันธกิจในการ จุดประกายกระตุ้นสานและเสริมพลังบุคคลและองค์กรทุกภาคส่วนให้มีขีดความสามารถและสร้างสรรค์ระบบสังคมที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะ ซึ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ เพราะเด็กทุกคนมีความเก่ง ดังนั้น ทำอย่างไรที่จะทำให้เด็กและเยาวชนมาเจอกัน นำความเก่ง ประสบการณ์ ความรู้ ความหลากหลายของการทำงานที่เป็นของดีของตนเองมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้บ่มเพาะประสบการณ์กับเพื่อนๆ เพื่อนำความรู้กลับไปช่วยพื้นที่ของตนเองได้


          "โครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมจึงตอบโจทย์ได้ตรงที่สุดในการเสริมสร้างศักยภาพคนรุ่นใหม่ให้มีคุณภาพในหลากหลายมิติเพื่อเป็นพลังสำคัญในการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมร่วมกับคนรุ่นต่างๆในสังคม" เพ็ญพรรณ เอ่ย


          ด้าน บุปผาทิพย์ แช่มนิล ผู้ก่อตั้งกลุ่มรักษ์เขาชะเมา มาร่วมเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้น้องๆ ได้ฟังในฐานะคนมีไฟที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้มีตัวตนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว


          สมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่สนใจปริญญาไม่เรียนหนังสือ ใช้ชีวิตกับค่ายอาสามาตลอด เพราะรู้สึกว่ากิจกรรมค่ายในมหาวิทยาลัยคือคำตอบ เป็นห้องเรียนใหญ่ๆ ของชีวิตที่ทำให้มองเห็นสังคม ปัญหา ทางออกและคิดว่าถ้าหากเริ่มจากตนเองจะเริ่มจากอะไร ดังนั้น ปี 2537 กลุ่มรักษ์เขาชะเมาจึงเกิดขึ้นจากความฝันของหญิงสาว 2 คน ไม่ต่างจากน้องๆ  ที่มีความฝันเหมือนพวกเราว่าจะกลับไปอยู่บ้านของตนเอง กลับไปทำอะไรเล็กๆ ไปสร้างพื้นที่ให้มีตัวตนในชุมชนบ่มเพาะเด็กและเยาวชนที่บ้านเกิด จนมีผลผลิตเด็กและเยาวชนหลายคนที่เติบโตขึ้นมาสร้างคุณค่าในพื้นที่


 /data/content/24717/cms/e_abgnqtuxy178.jpg


         สำหรับความเห็นของคนรุ่นใหม่ตัวจริงเสียงจริง อนิรุทร์ มูลวันดี นักศึกษาปี 4 สาขา การพัฒนาชุมชน ม.มหาสารคาม ก็แชร์มุมมองว่า ผู้ใหญ่มักตั้งความหวังไว้ว่าพวกเขาคืออนาคตของชาติ แต่สิ่งที่ตั้งความหวังกับโครงสร้างสังคมกลับไม่สอดรับกัน เพราะผู้ใหญ่ แม้กระทั่งครู อาจารย์ก็ไม่เปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็นของเด็ก ซึ่งเขามองว่า คือ ปัญหาสำคัญ


          "ชีวิตเกิดมาโชคดี เป็นเด็กเรียนเก่ง ชอบวิทยาศาสตร์ถึงขั้นหมกมุ่น ชีวิตมีแต่การเรียนอย่างเดียว ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่เมื่อโตขึ้นก็พบคำตอบว่า การเรียนเก่งไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่จะทำให้เรามีความสุข รู้สึกผิดเล็กๆ เมื่อเห็นคนอื่นทุกข์จึงอยากลองทำอะไรให้สังคมบ้าง ที่ผ่านมาเรามัวแต่คิดช่วยเรื่องใหญ่ๆ แต่ความจริงการช่วยเหลือสังคมไม่จำเป็นต้องมองอะไรที่ใหญ่ อาจจะทำแค่เรื่องเล็กๆ แต่เราก็มีส่วนได้ช่วยสังคมแล้ว" อนิรุทร์แสดงความเห็นไว้อย่างน่าคิด


          ส่วน กชกร ความเจริญ นักศึกษาชั้นปี 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ก็ร่วมเล่าด้วยว่า  ไม่เคยเข้าร่วมโครงการหรือกิจกรรมที่มีหลักสูตรที่ค่อนข้างหนักเหมือนโครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่ เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมเลย ที่สมัครเข้ามาร่วมเพราะชอบรูปแบบแนวความคิดของโครงการทุกหลักสูตรทำให้ได้กระบวนการเรียนรู้ เห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกัน และสร้างเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงร่วมกันได้จริง และจากการร่วมกิจกรรมนี้ ก็ทำให้คนรุ่นใหม่ อย่าง กชกร เริ่มมองเห็นแนวทางที่น่าจะนำไปเติมให้กับสังคมได้ นั่นก็คือ การรับฟัง เพราะเพียงแค่ รู้จักที่จะ "ฟัง" คนอื่นอย่างตั้งใจ


          เมื่อนั้นการปะทะทางความคิดก็จะเกิดขึ้น บนโจทย์ของความหวังดี จริงใจ และไม่อคติ


 


 


          ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Shares:
QR Code :
QR Code