จับไต๋แก้ไขลูก เมื่อหนูเริ่มโกหก
“ใครสอนให้โกหก…หา!”
“พ่อแม่สอนทำไมไม่จำ”
“ทำไมไม่ยอมรับผิด”
บางคำพูดของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่มักใช้พูดคุยกับลูกหลังจับได้ว่าลูกเริ่มโกหก และอาจมีการลงโทษตามมา
หลายครั้งคนเป็นพ่อแม่ก็กลับมานั่งถามตัวเองว่า การตอบโต้ที่เข้าใจว่าเป็นการสอนนั้นทำไมไม่ได้ผล ทำไมยิ่งแย่ลง
สาเหตุหนึ่งที่สำคัญ คือ ความไม่เข้าใจในสาเหตุ ลักษณะพฤติกรรมของเด็ก รวมถึงไม่ทราบวิธีจัดการที่ถูกต้อง
พ.ญ.อังคณา อัญญมณี จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า การโกหกของเด็กที่เกิดขึ้นบ่อยๆ อาจแสดงว่าลูกรักกำลังมีปัญหา เช่น ปัญหาทางอารมณ์ เมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่นอาจมีพฤติกรรมร่วมกับการโกหกอีกหลายอย่าง ทั้งลักขโมย หลอกลวง ทำลายของสาธารณะ ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ถือเป็นเด็กมีปัญหา หรือเด็กเกเร และอาจเติบโตเป็นผู้ก่อปัญหาให้สังคมในที่สุด
หากพ่อแม่สังเกต ควรมีสติและหันมาหา ความรู้เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เขาดีขึ้น
สาเหตุการโกหกของเด็ก
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ให้ข้อมูลว่า การที่เด็กมีพฤติกรรมโกหกหรือพูดไม่จริงนั้นอาจมีสาเหตุที่ต่างกันขึ้นกับช่วงอายุ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ในเด็กช่วงอายุ 2-6 ขวบ อาจพูดไม่จริงได้เนื่องจากความคิดยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ เด็กยังไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรจริง หรืออะไรคือจินตนาการ
เด็กอาจบอกว่า “หนูเหาะได้” เพราะอยากจะเป็นอย่างนั้น เด็กที่ถูกแกล้งบ่อยๆ จนเกิดความกลัวและอยากเอาชนะความกลัว ก็อาจเล่าให้แม่ฟังว่า “วันนี้เพื่อนมาแกล้งผม ผมเลยชกจนหงายหลัง วิ่งหนีไปเลย”
ในเด็กบางคนอาจโกหกเพื่อทดสอบว่าพ่อแม่จะรู้หรือไม่ว่าเขาพูดไม่จริง เพราะเด็กมักมองว่าพ่อแม่รู้ทุกอย่างแต่บางครั้งก็ไม่แน่ใจ ดังนั้นหากลูกในวัยนี้พูดสิ่งที่เกินจริงไปบ้าง พ่อแม่ไม่ควรตำหนิหรือกังวลมากเกินไป เพราะเป็นธรรมชาติของเด็กวัยนี้
สิ่งที่ควรทำคือรับฟังลูกและแก้ไขความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ลูกต่อไป
ส่วนในช่วงเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป เด็กแยกแยะความจริงได้แล้ว หากเด็กพูดโกหกอาจมีหลายสาเหตุที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจ เช่น
1.ลูกอาจโกหกเพื่อหลีกหนีจากสิ่งที่ไม่ต้องการ หรือกลัวว่าจะถูกทำโทษเมื่อทำผิด เช่น ลูกขโมยเงินพ่อแม่เพื่อเอาไปซื้อของเล่นยอดฮิตเหมือนเพื่อนๆ ที่โรงเรียน แต่กลัวพ่อแม่จับได้จึงต้องโกหก
สำหรับวัยรุ่น ปัญหาที่มักเจอส่วนใหญ่คือการคบเพื่อน การมีกลุ่มเพื่อนที่อาจชักจูงกันไปทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยถูกต้องหรือถูกใจผู้ปกครองมากนัก ก็พยายามหาวิธีการหลบหลีกด้วยการโกหก
บ่อยครั้งที่ผู้ปกครองจับไม่ได้ และบ่อยครั้งที่จับได้ สิ่งที่ตามมาคืออาจถูกตำหนิดุด่าจนในที่สุดพฤติกรรมเหล่านั้นแทนที่จะหายไป กลับยิ่งถูกส่งเสริมให้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการยิ่งตำหนิยิ่งทำให้สถานการณ์ของปัญหาการโกหกยิ่งแย่ลง เพราะวัยรุ่นจะยิ่งอยู่ห่างจากครอบครัวมากขึ้น
2.การโกหกเพื่อให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ เช่น เด็กที่รู้สึกเบื่อเหงา อาจสร้างเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาเล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่จะได้สนใจตนมากขึ้น เช่น โกหกว่าปวดหัวเพราะไม่อยากไปโรงเรียน อยากได้ค่าจ้างไปโรงเรียน หรือเด็กที่รู้สึกตนเองไม่เก่งไม่ดีอาจเล่าเรื่องโกหกให้ตัวเองดูดี เพราะอยากให้พ่อแม่ชื่นชม
3.เด็กมีความผิดปกติทางด้านจิตเวช เช่น เด็กที่มีปัญหาเรื่องสติปัญญาบกพร่อง มีปัญหาด้านภาษา เด็กที่ป่วยเป็นโรคจิต บางครั้งก็ดูเหมือนว่าจะพูดเรื่องที่ไม่จริง ตามความคิดที่เกิดขึ้นในโลกส่วนตัวจากการที่มีสติปัญญาบกพร่องอยู่ หรือเด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า อาจไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์ แต่มาแสดงออกทางพฤติกรรม เช่น พูดโกหก หนีเรียน ลักขโมย พบเห็นได้บ่อยทั้งที่บ้านและโรงเรียน
6 แนวทางปฏิบัติสำหรับพ่อแม่
1.ควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกอยู่เสมอ ลูกจะมั่นใจในความรักและความหวังดีของพ่อแม่ เพื่อเวลาที่ลูกทำผิด หรือทำสิ่งไม่ดีลงไป ลูกจะได้กล้าปรึกษาพ่อแม่ จะช่วยไม่ให้ลูกตัดสินใจผิดพลาดจนเกิดผลเสียร้ายแรงตามมา
2.ไม่ควรมีอารมณ์โมโห หรือตำหนิตัวตนของลูกเมื่อลูกทำความผิด แต่ควรจัดการเฉพาะพฤติกรรมที่ผิดเท่านั้น ควรใช้เหตุผลพูดคุยกัน เพื่อลูกจะกล้ายอมรับความจริงในสิ่งที่ตนทำ ควรชื่นชมที่ลูกกล้าสารภาพผิด และแนะนำว่าเขาควรทำอย่างไรต่อไป
3.ควรไว้วางใจ ไม่จับผิดหรือระแวงลูกมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ เช่น บางครั้งลูกกลับบ้านดึก แม่ก็คอยซักถาม จับผิดว่าลูกไปไหน ไปทำอะไร บางทีลูกอาจจะแค่ไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน แต่การที่พ่อแม่ซักถามเหมือนไม่ไว้ใจลูก และไต่สวนเหมือนเป็นผู้กระทำความผิด เด็กอาจใช้วิธีโกหกเพื่อให้พ่อแม่หยุดซักถาม
4.ควรหลีกเลี่ยงการลงโทษที่รุนแรงเมื่อลูกทำผิดหรือจับโกหกได้ เพราะการลงโทษเป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ ยังมีทางออกที่ดีกว่าวิธีการลงโทษ คือการพูดจาเพื่อทำ ความเข้าใจถึงเหตุผลบางประ การของลูก พ่อแม่ต้องมีอารมณ์ที่สงบเพื่อรับฟังลูกอย่างจริงใจ
5.เป็นแบบอย่างที่ดี ไม่พูดโกหกให้ลูกเห็น เพราะลูกอาจเลียนแบบจนติดเป็นนิสัย เข้าใจผิดว่าการโกหกเป็นเรื่องปกติที่ทำได้
6.พยายามสังเกตว่าลูกมีอาการป่วยทางจิตหรือไม่ เช่น ซึมเศร้า บกพร่องทางสติปัญญา หรือมีปัญหาเรื่องภาษา เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้อาจโกหกโดยไม่ตั้งใจ แต่ทำไปเพราะป่วย หากสงสัยว่าลูกมีภาวะดังกล่าวควรพาพบจิตแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด