‘จอมบึงมาราธอน’ งานวิ่งมาราธอนในฝัน

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ภาพประกอบจาก สสส.

ฟังเรื่องเล่างานวิ่งมาราธอนในฝัน จากอาจารย์ภาควิชาการจัดการการกีฬาคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ม.เกษตรศาสตร์

ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ ภาควิชาการจัดการการกีฬาคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ม.เกษตรศาสตร์ "สำหรับนักวิ่งแล้วไม่มีใครไม่รู้จัก "สสส.จอมบึงมาราธอน" ซึ่งเป็นมาราธอนแรก ๆ ที่จัดในประเทศไทย  ปี 2562 นี้เป็นการจัดครั้งที่ 34 มาราธอนนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2528 โดยคณาจารย์ของวิทยาลัยครูหมู่บ้านจอมบึง (ชื่อเดิมของ ม.ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง) จัดครั้งแรก ๆ มีคนสมัครแข่งไม่ถึงร้อยคน และวิ่งแค่ 10 กม.  ทุกอย่างทำด้วยใจรักและมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการที่จะสร้างชุมชนให้รักการออกกำลังกาย พัฒนามาเป็นระยะ ๆ จนเริ่มมีคนรู้จักและจากปากต่อปากว่ามาวิ่ง ที่นี่แล้วสนุก ชาวบ้านออกมามีส่วนร่วม และค่อย ๆ เพิ่มประเภทการแข่งขัน เป็น 21.1 กม. และ 42.195  กม. ที่เป็นฟูลมาราธอนในที่สุด"

วันนี้ "จอมบึงมาราธอน" เป็นอีเวนต์ที่นักวิ่งมาราธอนใฝ่ฝันว่าต้องไปวิ่งให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต เมื่อคนมากขึ้นก็ต้องใช้วิธี "ลอตโต้" ในการคัดเลือกสิทธิในการแข่งขันขึ้น  และโชคดีที่ปีนี้ผมได้เข้าร่วมเป็น 1 ใน 15,000 คน ได้ไปสัมผัส ซึ่งผมวิ่งแค่ 10 กม. ตามสภาพของสังขารและถือเป็นการวิ่ง 10 กม. ครั้งแรก หลังจากที่ทดสอบ 5 กม. มาสองปี เดิมก็คิดว่าเราจะวิ่งไหวหรือไม่เพราะอายุก็เข้า 60 ปีพอดีในปีนี้ ได้สัจธรรมบางประการในระหว่างการวิ่งก็เลยจะขอนำมาแลกเปลี่ยน ในระหว่างการวิ่งนั้นจะมีคนมากมายที่วิ่งแซงเราไป จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่  ไม่ว่าจะแข็งแรงกว่า หนุ่มกว่า ฟิตกว่า

แต่ก็มีอีกหลายคนที่เราวิ่งแซงเขาไป สุดท้ายทุกคนก็สามารถวิ่งถึงเส้นชัยได้  ดังนั้นด้วยเรื่องที่ว่าอายุ ความแข็งแรง ความฟิตซ้อม คงไม่ใช่คำตอบเดียวที่ทำให้เราวิ่งเข้าถึงเส้นชัยได้ แต่ความมุ่งมั่นที่จะไปถึงเป้าหมายมากกว่าที่ทำให้เรามีแรงก้าวขาออกไป เพราะวิ่งระยะไกลนี้จะว่าไปแล้วมันไม่เหนื่อย แต่ขึ้นอยู่กับใจเป็นสำคัญที่ว่ามีความมุ่งมั่นหรือไม่ว่าจะไปถึงเป้าหมายต่างหาก

การแข่งขันปีนี้จัดขึ้นสามวัน วันแรกจัดให้เด็กนักเรียนซึ่งอยู่ในจังหวัดราชบุรี วันที่สองจัดให้เด็กที่มากับครอบครัวที่จะวิ่งรวมทั้งเยาวชนอายุไม่เกิน 12 ปี โดยไม่คิดค่าสมัคร แถมมีถ้วยรางวัลและเหรียญ ซึ่งก็ช่วยเป็นการกระตุ้นให้เกิดการรักการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ดีมากเพราะว่าต้นทุนในการจัดเพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยแต่สามารถเพิ่มคนร่วมกิจกรรมได้อีกเท่าตัว เพราะสถานที่ อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้จัดเตรียมไว้แล้ว แถมยังได้รู้จุดบกพร่องหรือต้องปรับปรุงเพื่อที่จะมาแก้ไขสำหรับวันต่อไป ส่วนวันที่สองก็เป็นการวิ่งทั้งสามระยะ มีผู้คนถึง 15,000 คน

ต้องขอชมผู้จัดและชุมชนที่มีส่วนร่วมจริง ๆ มีกองเชียร์เป็นระยะ ๆ ซึ่งก็ช่วยกระตุ้นในการวิ่งได้เป็นอย่างดี แถมระบบบริหารจัดการต่าง ๆ สมบูรณ์แบบจริง ๆ