‘งดเหล้า’ วอนตำรวจเข้มงวดร้านข้าวต้มขายเหล้าเกินเวลา
เครือข่ายงดเหล้า วอนตำรวจ จัดการร้านข้าวต้มขายเหล้าเกินเวลา เหตุทำวัยรุ่นมั่วสุม โดนซ้อมบางตาย-เมาไล่ยิงกันอุกอาจ
วันที่ 21 มิ.ย. 2555 ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวถึงกรณีที่ปรากฏภาพกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายกันและไล่ยิงกันอย่างอุกอาจกลางลานจอดรถหน้าร้านข้าวต้มแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 ในพื้นที่ สน.ห้วยขวาง ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวต้องตรวจสอบว่าร้านนี้มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เกินเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาท และควรตรวจสอบด้วยว่ามีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีหรือไม่ ซึ่งเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจควรเร่งจัดระเบียบสังคมในร้านที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างจริงจังเสียที
“เป็นที่น่าแปลกใจว่าบรรดาร้านข้าวต้มหรือร้านอาหารข้างทางที่เปิดขายกันรอบดึก เพื่อรองรับนักท่องราตรีที่ออกมาจากผับบาร์ต่างๆ จำนวนมากสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกเวลาที่กฎหมายกำหนดได้ ทั้งๆที่ผิดกฎหมายชัดเจน และจากคนที่มีสภาพเมามาจากที่อื่นอยู่แล้ว แต่ยังสามารถมานั่งกินนั่งดื่มต่อได้ที่ร้านเหล่านี้ ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนดีกรีแอลกอฮอล์ในร่างกาย ปัญหาก็ยิ่งมากขึ้นเช่นเหตุการณ์ตีกันยิงกันครั้งนี้ และเชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อยที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งหากยังนิ่งเฉยไม่มีการลงโทษที่รุนแรงปัญหาจะยิ่งบานปลาย” ภก.สงกรานต์ กล่าว
ผอ.สคล. กล่าวว่า เครือข่ายฯขอเรียกร้องให้ กองบัญชาการตำรวจนครบาลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐบาลสนใจปัญหาของเยาวชนมากกว่านี้ มีนโยบายที่ชัดเจน บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด คือ 1.เร่งตรวจสอบด้วยว่ามีการทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ และควรลงโทษขั้นเด็ดขาดโดยเฉพาะหากพบว่ามีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี และขายเกินเวลาที่กำหนด เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง 2. ขอให้ตรวจสอบว่ามีการจ่ายส่วย จ่ายใต้โต๊ะทำให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ และหากพบความผิดดังกล่าวขอให้ลงโทษขั้นเด็ดขาด 3. ขอให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างจริงจังเพื่อลดปัญหาสังคม และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเยาวชน และ4.เรียกร้องนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเพศแม่ให้ความสนใจในการป้องกัน เยาวชนให้ดีเหมือนดูแลลูกหลานของตนเอง มีนโยบายควบคุมปัจจัยเสี่ยงของเยาวชนอย่างจริงจัง
ที่มา: หนังสือพิมพ์astvผู้จัดการ