“ค่ายสร้างสุข” ตำราล้ำค่าของวัยโจ๋
ตลอด 7 ปีของงาน “ค่ายอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิต” หรือที่คุ้นหูกันในนาม “ค่ายสร้างสุข” ผลผลิตที่มูลนิธิโกมลคีมทอง และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ปลุกปั้นเยาวชน เพาะบ่มต้นกล้าเล็กๆ เพื่อวันหนึ่งจะเติบใหญ่เป็นร่มเงาที่พึ่งให้กับสังคม
หลักสูตรข้างต้นนี้มีมูลนิธิโกมลฯ เป็นแม่งาน การันตีได้ถึงเนื้อหาของการทำค่าย ที่ไม่เหมือนกับค่ายใดๆ หลักฐานเห็นได้จากจาก 4 ระยะกิจกรรม ที่สร้างเยาวชนกว่า 100 โครงการ จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
“พี่ติ๊ก วีรินทร์วดี สุนทรหงส์” มูลนิธิโกมลคีมทอง ผู้จัดการโครงการค่ายอาสาฯ บอกเล่าถึงงานกิจกรรมยอดนิยมที่ว่าด้วยการท่องโลกผ่านงานค่ายอาสา ที่นับวันจะหาได้ยากยิ่งในรั้วสถาบันการศึกษาว่า ถึงเวลาที่เราต้องพักเพื่อทบทวนตัวเอง เมษายนนี้คือช่วงรอยต่อของกิจกรรม การสรุปบทเรียน ระดมสมองพัฒนาทักษะการทำค่าย เหตุนี้จึงพักการทำกิจกรรมจากเดิมที่จะมีค่ายในช่วงปิดเทอมนี้ไว้ก่อน เพื่อเปิดทางให้โปรเจคหน้าในช่วงมิถุนายน โดยหนนี้กิจกรรมจะลึกและเข้มข้นขึ้นบนเป้าหมายของการหนุนเสริมพลังเยาวชนร่วมผลักดันสังคมทดแทนบุคลากรรุ่นเก่าที่โรยราตามกาลเวลา
“โครงการค่ายอาสาฯ เองเริ่มต้นขึ้นในปี 2549 และจัดมาอย่างต่อเนื่อง จะว่าไปสนับสนุนการทำค่ายของนิสิตนักศึกษาไปกว่า 200 ค่ายแล้ว โดยในแต่ละปีจะให้การสนับสนุนทั้งหมดใน 2 รูปแบบ คือในรูปแบบค่ายเดียวและค่ายต่อเนื่องที่ใช้เวลาทำตลอดทั้งปี ค่ายเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกให้กับเยาวชน ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ชีวิตจริงจากนอกห้องเรียน เรียนรู้ผู้คน เรียนรู้การทำงานร่วมกัน และนำเอาประสบการณ์นั้นมาประยุกต์ใช้กับตนเอง คิดและพัฒนาการทำค่ายให้มีคุณภาพมากขึ้น เมื่อทำไปได้ในช่วงเวลาที่น่าพอใจเราก็จะพักเพื่อทบทวนว่ามีอะไรที่จะเราจะหนุนเสริมให้ดีขึ้น และมีอะไรที่ต้องปรับปรุงบ้าง”
พี่ติ๊กเล่าต่อถึงความแตกต่างของค่ายอาสาฯ ที่ต้องยกต้นแบบคือครูโกมล คีมทอง ที่ไม่เคยลังเลใจในการประกาศปณิธานแห่งชีวิตของตนว่า “จะขอเป็นครูตราบชั่วชีวิต” แม้จะสามารถไต่บันไดทางการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือเสาะหาอาชีพที่ทำให้สถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของดีขึ้นได้โดยไม่ลำบากนัก แต่ก็เลือกที่จะอุทิศตนจนวาระสุดท้ายของชีวิต นั้นคือแบบอย่างที่ดี แต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้หวังให้เยาวชนเป็นแบบนั้น อย่าไปมองว่าการออกค่ายคือเรื่องของนามธรรมและความใฝ่ฝันของนักอุดมคติ
ปัจจุบันนี้ทุกคนเข้าใจดีว่าอดีตกับสภาพจริงต่างกัน เพราะทุกวันนี้ต้องแข่งขันกันสูง ไม่แปลกที่เด็กจะแข่งกันเรียน แข่งกันได้งานดีๆในตลาดแรงงาน ไม่ผิดที่จะมองตัวเองก่อน แต่ “บทเรียน” ที่กิจกรรมค่ายอาสาต้องปูพื้นฐานคือการสร้างทางเลือกคู่ขนาน ในเรื่องจิตสาธารณะ ความเสียสละที่พอจะเอื้อเฟื้อได้ในรูปแบบที่ตัวเองถนัด ไม่ว่าจะเป็น สละเวลา แรงงาน องค์ความรู้ การแบ่งปัน-ระดมความคิด ฯลฯ
“เราจะเสนอให้เขามีจิตสาธารณะคู่ขนานไป ให้เขาได้เห็น ได้คิดอะไรเหนือไปจากห้องเรียน สร้างจิตสำนึกของความเสียสละ ในรูปแบบใดมันได้ทั้งนั้น การออกค่ายของเราไม่ได้คิดให้มันใหญ่โต แต่เมื่อเด็กเข้ามาเราก็ต้องกระตุ้นให้เขาคิดถึงส่วนรวมบ้าง มาตั้งคำถามว่าในประเทศนี้ ส่วนใดที่มีคนไม่ได้รับความเป็นธรรม มีความไม่เท่าเทียมจนทำให้เขาด้อยกว่าคนอื่นอยู่ จิตสาธารณะไม่ได้อยู่ที่การให้เท่านั้น มันให้ได้ สร้างได้แต่ต้องไม่ใช่เป้าหมายที่การสร้างวัตถุ หรือมุ่งให้ชุมชนในลักษณะการอุปการะเพียงอย่างเดียว แต่ตัวเยาวชนเองต้องไปฝังตัวร่วมกับชุมชนก่อน เก็บข้อมูลสังเกตความเป็นไปในสิ่งที่เกิดขึ้น เรียนรู้ข้อเท็จจริงก่อน ก่อนจะต้องมองโจทย์ให้ออกว่าสิ่งที่ชุมชนต้องการนั้นคืออะไร มีกระบวนการใดที่จะคลี่คลายเรื่องเหล่านั้นได้บ้าง”
“การออกค่ายจะไปหนุนเสริมในส่วนนั้น อย่าลืมว่านักศึกษาไม่ได้เป็นใหญ่ ไม่ใช่คนที่มีอุดมการณ์ มีความรู้มากกว่าใคร แล้วไปช่วยชุมชนที่ด้อยโอกาสกว่า จริงอยู่คุณอาจจะเรียนสูงกว่า แต่เมื่อเข้าไปในชุมชน คุณก็จะรู้ความจริงว่าเขาอยู่กันอย่างไร อะไรเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ และเมื่อได้รับมันแล้วเขาจะสามารถจะทำให้ดีขึ้นต่อไปได้แม้จะไม่มีใครช่วยเหลืออีกหรือไม่ ขณะเดียวกันนักศึกษาก็ต้องสำรวจตัวเองว่าสามารถจะเรียนรู้เรื่องใดจากชุมชนได้บ้าง ไม่ใช่ผ่านมาหรือผ่านไป ทำกิจกรรมกันเพียงแค่ประเพณีเท่านั้น
ผลงานเด่นของค่ายอาสาตลอด 4 ระยะ 7 ปี สนับสนุนเยาวชนมากกว่า 100 โครงการ ทั้งในระยะสั้นและยาว เปิดประเด็นปัญหาที่ครอบคลุมในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นในระดับย่อยด้านสุขภาวะในชุมชน ประเด็นยอดนิยมอย่างสิ่งแวดล้อม การรณรงค์ ด้านการศึกษาอย่างเรื่องมหาวิทยาลัยออกนอกระบบเรื่อยไปถึงระดับภูมิภาคที่เชื่อมโยงเข้ากับโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หรือกระทั่งปัญหาคนไร้ถิ่นอาศัยในเมืองหลวง
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ด้วยสิ่งเพียงสิ่งเดียว แต่มีความซับซ้อนกันหลายมิติ ดังนั้นคนทำกิจกรรมต้องรู้จักวางแผนคิดเชื่อมโยงในแต่ละมุมมองได้ ขณะที่แบบฝึกหัดของเยาวชนค่ายอาสาฯ เองต้องเริ่มจากการลงพื้นที่จริงก่อนเพื่อหาข้อมูลเบื้องต้น รู้เป้าหมาย วัตถุประสงค์ก่อนจะริเริ่มโครงการ พร้อมกับมีโจทย์ของตัวเองแล้วว่าจะทำอะไรไปเพื่อใคร ที่สำคัญคือพวกเขาจะรู้ว่าการทำงานกับชุมชนมันไม่มีสูตรตายตัว จะไปบอกว่าที่ใดต้องการแปลงเพาะเห็ดเพื่อความมั่นคงทางอาหาร หรือจะหาที่เก็บน้ำเพราะขาดแคลนเป็นประจำไปคิดแทนเช่นนั้นคงไม่ได้ ตัวอย่างบางกลุ่มเคยไปสร้างศูนย์การเรียนรู้ในชุมชนทั้งที่เขาไม่ต้องการ ไม่นานมันก็ถูกทิ้งร้าง ดังนั้นอย่าไปคิดแทน เรื่องเหล่านี้มันเริ่มจากข้อมูลจริงก่อน ไม่ใช่ทำตามใจ เมื่อชุมชนมองว่าสิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่เขาต้องการจะเกิดขั้นตอนของการพัฒนาต่อไปให้คงอยู่ สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในชุมชนตลอดเราผ่านเขาไปเพื่อเรียนรู้ในพื้นที่ ได้ร่วมมือกับชุมชน ถ่ายโอนความรู้ระหว่างกัน ทั้งความรู้ในระบบที่ร่ำเรียนมา หรือเรื่องวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ วิถีที่ยังคงนำพาชุมชนให้ดำรงอยู่ได้ อย่าเพิ่งไปคิดถึงผลลัพธ์ เราสนใจกระบวนการ อยากที่จะสร้างเยาวชนที่มีจิตสาธารณะและคิดเชื่อมโยงได้ในหลายมิติ
ที่มา : ทีมงานกระจายสุข