คุยกับผู้จัดการ สสส. (เดือนพฤศจิกายน 2567)
สวัสดีครับเพื่อนร่วมสร้างสุขทุกคน
วันที่ 8 พ.ย. 2567 สสส. ได้ก่อตั้ง และร่วมเดินทางกับภาคีสุขภาวะมาเป็นเวลา 23 ปีแล้ว
สำหรับใครหลายคน การครบรอบวันเกิด เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง และเป็นวันที่ขอบคุณพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด รวมถึงทบทวนชีวิตที่ผ่านมาของเราว่าได้ล้มเหลว หรือประสบความสำเร็จอย่างไร
แต่สำหรับ สสส. นั้น ต้องขอบคุณสำหรับภาคีเครือข่าย อาจารย์ผู้ใหญ่ ผู้ร่วมผลักดันให้ สสส. ก่อตั้งขึ้น กรรมการกองทุน สสส. คณะเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่มีส่วนผลักดันเรื่องดี ๆ ด้านสุขภาวะให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
ที่สำคัญ คือ ทุก ๆ คนในสังคมไทยที่ตอบรับและตอบสนองต่อโครงการสร้างเสริมสุขภาพดี ๆ ที่ สสส. และภาคีเครือข่ายได้ริเริ่มขึ้น เพื่อสานพลังทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยให้ลุกขึ้นมาสร้างเสริมสุขภาพและพยายามทำให้บรรลุวิสัยทัศน์ที่ว่า “ทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย มีวิถีชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนต่อการมีสุขภาวะที่ดี”
หากจะทบทวนว่าอะไรคือความสำเร็จของ สสส. ผมจำได้ว่า เมื่อผมจบแพทย์ใหม่ ๆ ไปทำงานที่โรงพยาบาลในชนบท เกือบทุกคืนที่อยู่เวรต้องตื่นขึ้นมาตี 3 ตี 4 เป็นเวลาที่อากาศหนาวเย็นที่สุด ตื่นขึ้นมาเพื่อสั่งยาขยายหลอดลมใช้พ่นให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง หรือปอดอุดกั้นเรื้อรัง จากการสูบบุหรี่ จากการรวบรวมข้อมูลสาเหตุการตาย ก็พบว่า สาเหตุการตายอันดับ 1 ก็คือโรคถุงลมโป่งพองนี่เอง
เวลาผ่านไป 31 ปี ไวเหมือนโกหก ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังลดลงอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุการตายจากอันดับ 1 กลายเป็นอันดับ 3-4 จากข้อมูลการศึกษาภาระโรค พบว่า อัตราตายปรับฐานของโรคถุงลมโป่งพองลดลงจาก 62.2 คนต่อแสนประชากรในปี 2547 เหลือ 28.2 คนต่อแสนประชากร ในปี 2562 เรียกว่าลดลงไป 54.7% เลยทีเดียว
รวมถึงอัตราตายปรับฐานของโรคมะเร็งปอดและหลอดลม ลดลงจาก 34.4 คนต่อแสนประชากร ในปี 2547 เหลือ 28.1 คนต่อแสนประชากร ในปี 2562 ลดลงไป 18.3% สอดคล้องกับอัตราการสูบบุหรี่ที่ลดลงจาก 32% ในปี 2534 เป็น 17.4% ในปี 2564 อัตราตายปรับฐานของโรคตับ ลดลงจาก 73.9 คนต่อแสนประชากร ในปี 2547 เหลือ 39.2 คนต่อแสนประชากร ในปี 2562 ลดลงไป 47% สอดคล้องกับความชุกของการดื่มสุราที่ลดลงจาก 32.7% ในปี 2544 เหลือ 28.4% ในปี 2560
แน่นอนว่า ในความสำเร็จ มีความล้มเหลว ในความล้มเหลว มีความท้าทาย แม้ว่า บางส่วนของสังคมไทยตระหนักถึงการสร้างเสริมสุขภาพมากขึ้น ลดการเสพสารทำลายสุขภาพมากขึ้น มีการออกกำาลังกาย บริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
แต่แน่นอนว่า ระบบทุนนิยม และบริโภคนิยมนั้น เกิดการกระตุ้นกิเลส กระตุ้นการบริโภคที่มากขึ้น เพื่อกำไรที่มากขึ้น การโฆษณา การสร้างกระแส ทั้งในสื่อสาธารณะ สื่อส่วนบุคคล (influencer) ได้ส่งผลต่อการบริโภคหวาน มัน เค็ม ที่มากขึ้น ส่งผลให้โรคอ้วนกำลังเพิ่มขึ้น โรค NCDs ที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ปัจจัยเหล่านี้ ยังคงเป็นความท้าทายที่ สสส. ต้องขับเคลื่อนให้ทุกส่วนของสังคมร่วมสร้างสุขภาวะกันต่อไป
อีกงานหนึ่งที่อยากจะเชิญชวนทุกคนเข้ามาร่วมงานคือ Thai Health Day run จัดขึ้นในวันที่ 8 ธ.ค. 2567 งานที่จะจุดประกายทุกคนมาเริ่มต้นร่วมดูแลสุขภาพไปพร้อมกัน
มีผู้กล่าวว่า “ความสำคัญของการวิ่ง ไม่ได้อยู่ที่วันวิ่งแต่อยู่ที่วันซ้อม ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่กิจกรรมวิ่ง แต่อยู่ที่การสร้างนิสัยรักการวิ่ง” จึงเชิญชวนทุกภาคีเครือข่ายมาร่วมสร้างนิสัยรักการวิ่งไปด้วยกันนะครับ
เดือน พ.ย. นี้ สสส. ยังได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายธนาคารจิตอาสา จัดเทศกาลเดือนแห่งการรับฟัง เป็นครั้งแรกของไทย และน่าจะเป็นของโลก การรับฟังคือการให้เกียรติ การเห็นคุณค่า การยอมรับในความเป็นตัวตนของบุคคลตรงหน้า
สังคมที่มีสื่อโซเชียล รวดเร็ว กระชับ ทำให้เราติดสนุกกับโซเชียลในมือถือ จนบางครั้งก็ลืมคนที่อยู่ตรงหน้า คนที่ใกล้ชิด คนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเรา เพราะบางครั้งในชีวิตจริงคนตรงหน้า อาจจะไม่สามารถตัดต่อให้ทุกอย่างกระชับได้ใจความเท่าใน TIKTOK แต่เขาคือตัวจริงที่อยู่กับเรา
การรับฟังก็มีทักษะ กล่าวคือ การอยู่กับคนตรงหน้า 100% รับฟังแบบไม่ตัดสิน รับฟังโดยไม่ใช่เพียงได้ยิน แต่ใช้ทั้งตา และประสาทสัมผัสรับรู้ถึงความรู้สึกของเขา ตัวตนของเขา บางทีความโกรธขึ้งในที่ทำางาน รอยร้าวในครอบครัวอาจจะกลับมาได้เพียงการรับฟัง
สำหรับผมแล้ว การทำงานใน สสส. คือ การได้เรียนรู้จากภาคีเครือข่าย คือการพัฒนาตัวตนผ่านการเรียนรู้ทั้งจากภาคีและเพื่อนร่วมงาน และที่สำคัญคือความสนุกในการคิดว่า เราจะสานพลังกับน้อง ๆ สสส. และภาคีเครือข่าย ให้เขาทำงานของเขาให้ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น และเห็นคุณค่าของงานที่ทำมากขึ้นได้อย่างไร
ให้สมกับภารกิจที่ สสส. พยายามทำ มุ่งมั่น ทำและจะทำต่อไป คือ “สานพลัง สร้างนวัตกรรม และสื่อสารสุข” ขอให้พลังใจอยู่กับทุกคนนะครับ