“ครอบครัวสุขสันต์ “ภูมิคุ้มกันเมื่อลูกถูกกลั่นแกล้ง

เรื่องโดย  ปัญจวรา บุญสร้างสม Team Content www.thaihealth.or.th


ให้ข้อมูลโดย  นางสาวฐาณิชชา  ลิ้มพานิช ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว


ข้อมูลประกอบจาก  งานเสวนา หัวข้อ “Bully” กลั่นแกล้ง ความรุนแรงที่รอวันปะทุ และคู่มือแนวทางปกป้องคุ้มครองเด็กจากภัยออนไลน์ โดยมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย


ภาพโดย  นัฐพร ชุ่มลือ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ


“ครอบครัวสุขสันต์ “ภูมิคุ้มกันเมื่อลูกถูกกลั่นแกล้ง  thaihealth


พฤติกรรม‘บูลลี่’ เด็กไทยติดอันดับ 2 ของโลก องค์กรด้านเด็ก เปิดผลสำรวจพบว่า เด็กกว่าร้อยละ 91 เคยถูกบูลลี่ ตบหัว ล้อบุพการี พูดจาเหยียดหยาม ซี่งเด็กจำนวนมากถึงร้อยละ 43 คิดที่จะตอบโต้เอาคืน  


“ครอบครัวสุขสันต์ “ภูมิคุ้มกันเมื่อลูกถูกกลั่นแกล้ง  thaihealth


“Bully” หรือการกลั่นแกล้งทั้งทางร่างกาย คำพูด และจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียนลักษณะรูปร่าง หน้าตา การเหยียดเพศ การล้อบุพการี ตบหัว ดึงผม นินทาว่าร้ายให้เสียชื่อเสียง หรือเสียความรู้สึก ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ของเด็กๆอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ควรเอาใจใส่ และคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ปัญหาที่ถูกมองว่าเล็กน้อยในวันนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่รอวันทวีความรุนแรงมากขึ้น จนทำให้ชีวิตและอนาคตที่กำลังสดใสของเด็กและเยาวชนหลายคนกลายเป็นชีวิตและอนาคตที่มืดมน เพียงเพราะไม่รู้วิธีการรับมือที่ถูกต้องเมื่อต้องเผชิญกับปัญหา จึงตัดสินใจเลือกวิธีแก้ไขในทางที่ผิด


เครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม ร่วมกับ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว และเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดเสวนาหัวข้อ“BULLYING” กลั่นแกล้ง ความรุนแรงที่รอวันปะทุ” เพื่อหาทางออกและวิธีแก้ไขปัญหาเด็กโดนกลั่นแกล้ง หรือ บูลลี่


“ครอบครัวสุขสันต์ “ภูมิคุ้มกันเมื่อลูกถูกกลั่นแกล้ง  thaihealth


“ครอบครัว” เป็นสถาบันที่เป็นพื้นฐานในการสร้างพลเมือง และสังคมที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นต้นแบบการถ่ายทอดค่านิยม การปลูกฝังความเชื่อ การสร้างเสริมทัศนคติ กำหนดบุคลิกภาพ วิธีการปฏิบัติตนในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การสร้างบรรทัดฐานทางสังคมให้แก่สมาชิกรุ่นใหม่ รวมทั้งคอยให้ความช่วยเหลือ ดูแล เยียวยา และฟื้นฟูจิตใจในยามที่ต้องเผชิญกับปัญหาอีกด้วย การสื่อสารกันด้วยความเข้าใจจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากที่ควรเรียนรู้ ฝึกฝน และทำให้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว


“ครอบครัวสุขสันต์ “ภูมิคุ้มกันเมื่อลูกถูกกลั่นแกล้ง  thaihealth


นางสาวฐาณิชชา ลิ้มพานิช ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปทำให้รูปแบบของการบูลลี่ เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น มีการแชร์พฤติกรรมการล้อเลียนกันอย่างรวดเร็ว และเป็นวงกว้าง ทำให้การกลั่นแกล้งไม่ได้อยู่แค่ภายในโรงเรียน จนส่งผลให้เด็กที่ถูกบูลลี่เลือกใช้ความรุนแรงเพื่อป้องกันตนเอง ทั้งนี้จากงานวิจัยของกรมสุขภาพจิตพบว่าการใช้ความรุนแรง การข่มเหงรังแกกัน หรือการบูลลี่ในประเทศไทยนั้นติดอันดับสองของโลกรองจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหมายความว่าการบูลลี่ในไทยมีระดับความถี่ที่รุนแรงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังพบว่าอายุเด็กที่ถูกบูลลี่ จะน้อยลงไปเรื่อยๆ และงานวิจัยยังพบอีกว่าเด็กที่รังแกคนอื่น มีพื้นฐานด้านการขาดอำนาจบางอย่างในวัยเด็ก ถูกเลี้ยงดู เชิงลบ รวมถึงพันธุกรรมทางสมองที่ผิดปกติ จะนำไปสู่การรังแก หรือกลั่นแกล้งคนอื่นในวัยที่โตขึ้น ซึ่งพฤติกรรมนี้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความเคยชิน ทำให้เด็กเรียนรู้วิธีการกลั่นแกล้งได้อย่างแนบเนียนและรุนแรงมากขึ้น ส่วนเด็กที่ถูกบูลลี่ จะมีอาการซึมเศร้า ไม่อยากไปโรงเรียน และในบางรายอาจถึงขั้นคิดสั้นได้


“ผู้ปกครองไม่ควรปล่อยให้เด็กเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ต้องคอยสังเกตอาการ และหมั่นพูดคุยสอบถามเรื่องราวต่างๆกับเด็กอยู่เสมอ เมื่อเด็กส่งสัญญาณผิดปกติ เช่น ดูหงุดหงิด วิตกกังวล มีความหวาดกลัว ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากคุยกับใคร  หรือมีร่องรอยตามร่างกาย ผู้ปกครองควรสร้างบรรยากาศแห่งความไว้ใจ ชวนคุย ให้เขาไม่รู้สึกกลัว และกล้าที่จะเล่าปัญหาออกมา เพื่อให้ผู้ใหญ่ช่วยแนะวิธีแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง ถ้าปัญหาเกี่ยวข้องกับสังคมที่โรงเรียน อาจนำไปหารือกับครูที่ปรึกษา และสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเป็นแบบอย่างที่ดี เลี้ยงดูด้วยวิธีการเชิงบวก ให้ความเข้าใจ และเชื่อใจเด็ก อาทิ ไม่เปรียบเทียบ ใช้คำพูดที่สุภาพ ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการบูลลี่ได้ นอกจากนี้อยากเสนอให้โรงเรียนมีมาตรการครูแนะแนว หรือมีนักจิตวิทยาคอยให้คำปรึกษา เปิดพื้นที่สำหรับเด็กมากขึ้น สร้างกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนในโรงเรียน เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จะได้ให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที” นางสาวฐาณิชชากล่าว


สังคมในปัจจุบันได้แปรเปลี่ยนเป็นสังคมยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ รูปแบบการสื่อสารจึงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ระบบความคิด ความเชื่อ และการรับรู้ของเด็กก็มีปรับเปลี่ยนตาม ช่องว่างระหว่างวัยก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ใหญ่และเด็กมองเห็นโลกจากคนละมุม เมื่อรวมกับการสื่อสารยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้น พ่อแม่ ผู้ปกครองจึงต้องทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นสิ่งทำให้สามารถสื่อสารสิ่งที่ต้องการในใจได้ตรงจุดและไม่ทำให้เกิดความขุ่นมัวต่อกัน


“ครอบครัวสุขสันต์ “ภูมิคุ้มกันเมื่อลูกถูกกลั่นแกล้ง  thaihealth


แนวทางการเลี้ยงลูกในยุคดิจิทัล ทำได้ง่ายๆด้วยวิธีดังต่อไปนี้


1.ให้ความรักและเวลาคุณภาพ


2.รับฟังมากกว่าสั่งสอน


3.ช่วยลูกสร้างทักษะชีวิต


4.ฝึกระเบียบวินัย และความรับผิดชอบตั้งแต่ลูกยังเล็ก


5.ลดโอกาสในการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ตและเกม


6.สอนให้ลูกมีทักษะในการรู้เท่าทันสื่อ และความฉลาดทางดิจิทัล


7.ส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์อื่นๆ เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ


สสส.ขอเป็นกำลังใจให้ครอบครัวสร้างวิธีการสื่อสารที่มีคุณภาพ ลดช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว สร้างครอบครัวให้อบอุ่น ให้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและเยาวชน สอนให้พวกเขารู้จักการเคารพสิทธิของผู้อื่น มีความอดทนอดกลั้น แก้ปัญหาอย่างมีสติ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการล้อมรั้วครอบครัวให้แข็งแรง ทำลายกำแพงความไม่เข้าใจในบ้านลงได้ จะทำให้เด็กและเยาวชนไทยก้าวผ่านปัญหาได้ โดยไม่ต้องเลือกใช้วิธีการที่ทำร้ายทั้งตนเอง และคนอื่น


 

Shares:
QR Code :
QR Code