คนไทยยังต้องแบกภาระโรคจากบุหรี่
จากงานศึกษาวิจัยของ ดร.ทพ.ญ.กนิษฐา บุญธรรมเจริญ หัวหน้าโครงการพัฒนาการดำเนินการจัดทำเครื่องชี้วัดภาระโรคและปัจจัยเสี่ยงของประเทศไทย สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า คนไทยตายก่อนวัยอันควรจากการสูบบุหรี่ แนวโน้มนักสูบลดลงแต่โรคเพิ่ม พบนักสูบอยากเลิกมากขึ้น แนะรัฐต้องเร่งสนับสนุน จัดบริการยาเลิกบุหรี่ คุ้มต่อการลงทุนมากกว่า
งานวิจัยเรื่อง “ภาระโรคจากปัจจัยเสี่ยงของประชาชนไทย” โดยทำการศึกษาทุก 5 ปี ของ ดร.ทพ.ญ.กนิษฐา ระบุว่า จากสถานการณ์การสูบบุหรี่ล่าสุดในปี 2552 พบว่า การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุให้ประชากรไทยเสียชีวิตประมาณ 5 หมื่นคนต่อปี โดยเฉลี่ย ผู้ชาย 1 ใน 6 คน และผู้หญิง 1 ใน 25 คนเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่
“ภาระโรคจากบุหรี่เป็นโรคมะเร็งปอดสูงสุด 75% โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 50% จากการเปรียบเทียบกับภาระโรคในปี 2547 พบว่าแนวโน้มผู้สูบบุหรี่ลดลงเล็กน้อย แต่ภาระจากโรคยังคงเพิ่มขึ้น เป็นผลจากการสูบบุหรี่ในอดีต โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด หากคนไทยทุกคนไม่สูบบุหรี่จะทำให้ภาระโรคจากการสูบบุหรี่ลดลง 86% ในเพศชาย และ 61% ในเพศหญิง ซึ่งปีสุขภาวะที่สูญเสียไปนั้นส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ และเศรษฐกิจด้วย” ดร.ทพ.ญ.กนิษฐากล่าว
ผศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา กรรมการเครือข่ายวิชาชีพแพทย์ในการควบคุมการบริโภคยาสูบ คลินิกฟ้าใส กล่าวว่า การสำรวจพฤติกรรมของผู้สูบบุหรี่ พบว่า จากจำนวนผู้สูบบุหรี่ทั้งหมด มี 60% ที่มีความคิดอยากเลิกสูบบุหรี่ โดยกว่าครึ่งเคยเริ่มเลิกบุหรี่ด้วยตนเอง ซึ่งในจำนวนนี้กว่าครึ่งไม่สามารถเลิกเองได้
“การให้คำแนะนำและสนับสนุนให้ประชาชนเลิกสูบบุหรี่ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่ปัจจุบันพบว่าภาครัฐยังไม่ได้บรรจุสิทธิเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนเลิกสูบบุหรี่เข้าไปในหลักประกันสุขภาพทุกระบบ โดยมีเพียงคำแนะนำแต่ยังไม่มีการจัดเตรียมยาเลิกบุหรี่ ซึ่งผู้ที่ติดบุหรี่หนักตั้งแต่วันละ 1 ซองขึ้นไปจะไม่สามารถเลิกเองได้ จำเป็นต้องมียาช่วย แต่เมื่อต้องจัดหายาด้วยตนเองจึงทำให้ส่วนหนึ่งล้มเลิกความตั้งใจ อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายจากการเลิกบุหรี่ พบว่า คุ้มค่าในการลงทุน เพราะมีค่าใช้จ่ายวันละ 40-60 บาท เพียง 3 เดือน แต่หากยังสูบบุหรี่ก็จะเสียทั้งเงินและเกิดโรคมากมาย” นพ.สุทัศน์ กล่าว
นพ.สุทัศน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประชาชนขอคำแนะนำเลิกบุหรี่ได้ที่สายด่วน 1600 หรือคลินิกฟ้าใส ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. มี 70 แห่งทั่วประเทศ เพื่อขอคำปรึกษาและยาสำหรับเลิกบุหรี่ได้ฟรี หรือสอบถามได้ที่ 0-2716-6556 สำหรับวิธีเลิกบุหรี่ลำดับแรก ถามตัวเองว่าต้องการเลิกหรือไม่ 2.ตั้งใจเลิก ด้วยการกำหนดวันให้ชัดเจน ทิ้งอุปกรณ์การสูบ 3.เตรียมการรับมือ เพราะช่วงที่เลิกบุหรี่อาจมีอาการข้างเคียง เช่น หงุดหงิด อาจเข้าขอคำแนะนำหรือเตรียมยาไว้ใช้ และ 4.บอกคนรอบข้าง เพื่อขอกำลังใจและสนับสนุนการเลิกสูบบุหรี่
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์