คนอ่อนไหวควรเลี่ยงสื่อโซเชียล
จิตแพทย์แนะกลุ่ม"อ่อนไหว-เปราะบาง"เลี่ยงเข้าสังคมออนไลน์ เหตุกระตุ้นให้ยิ่งทำร้ายตนเอง พบสถานการณ์"ฆ่าตัวตาย"ทั่วโลกพุ่ง ไทยเฉลี่ย 1 คน ทุก 2 ชั่วโมง
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวเนื่องในวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลกว่า สถานการณ์การฆ่าตัวตายทั่วโลกร้อยละ 1.4 หรือกว่า 800,000 คนต่อปี คิดเป็น 11.69 ต่อประชากรแสนคน คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคนในปี 2563 สำหรับประเทศไทย ปี 2557 พบอัตราฆ่าตัวตาย 6.08 ต่อประชากรแสนคน ฆ่าตัวตายสำเร็จปีละกว่า 3,900 คน เฉลี่ย 1 คน ทุก 2 ชั่วโมง ผู้ชายฆ่าตัวตายสูงกว่าผู้หญิง 3 เท่า และเป็นกลุ่มอายุ 35-39 ปี มากที่สุดแม้จะอยู่ในเป้าหมายที่ไม่เกิน 6.5 ต่อแสนประชากร และภาคเหนือมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าภาคอื่น โดยเฉพาะ จ.ลำพูน
นพ.ปิยะสกลแถลงอีกว่า ในการป้องกันเน้น 1.กลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้าซึ่งเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงที่สุด 2.กลุ่มฆ่าตัวตายด้วยความหุนหันพลันแล่น ซึ่งพบว่ากลุ่มที่เคยพยายามฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่ทำเพราะความหุนหัน มีสุราและปัญหาครอบครัวเป็นตัวกระตุ้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประการคือ การใช้สื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม ฯลฯ ที่มีมากถึง 16 ล้านคน จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่า ยิ่งเข้าถึงโลกออนไลน์มากเท่าใด ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาการทำร้ายตนเอง/ฆ่าตัวตายจะมีมากขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มที่จิตใจอ่อนไหว เปราะบาง
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงว่า สำรวจพฤติกรรมการฆ่าตัวตายของคนไทยใน 12 เขตสุขภาพ รอบ 3 ปี พบอัตราการฆ่าตัวตายในเขตบริการสุขภาพที่ 1, 8 และ 9 ซึ่งเป็นภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจากความขัดแย้งในครอบครัว ทั้งผู้ชายและผู้หญิงคล้ายกันคือเกิดจากความน้อยใจ โดยผู้หญิงจะมีเรื่องความรัก เช่น หึงหวง ผิดหวังในความรัก ส่วนผู้ชายที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ มีร้อยละ 3 จะมีการทำร้ายคนอื่นร่วมด้วย ขณะที่ผู้หญิงร้อยละ 2 จะทำร้ายคนอื่นก่อนฆ่าตัวตาย ซึ่งก่อนลงมือมักมีสัญญาณเตือน
"ผู้ที่ฆ่าตัวตายเกือบครึ่งจะแสดงท่าทีหรือสัญญาณเตือนบอกเหตุแก่ครอบครัวและบุคคลใกล้ชิดก่อน ตั้งแต่ 1 ชั่วโมง ถึง 1 เดือน ซึ่งจะพบมากที่สุดในช่วง 3 วันแรกก่อนการเสียชีวิต และร้อยละ 79 จะมีเหตุกระตุ้นก่อน เช่น ดื่มสุรา ทะเลาะกับคนใกล้ชิด ฯลฯ ในการป้องกันและลดปัญหาการฆ่าตัวตายจากสื่อสังคมออนไลน์นั้น ขอให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยยึดหลัก 4 อย่า และ 3 ควร
ได้แก่ 1.อย่าท้าทาย เช่น "ทำเลย" "กล้าทำหรือเปล่า" 2.อย่าใช้คำพูดเยาะเย้ย เช่น "โง่" "บ้า" 3.อย่านิ่งเฉย 4.อย่าส่งข้อความ หรือเผยแพร่ภาพการฆ่าตัวตาย แต่ 1.ควรห้ามหรือขอให้หยุดพฤติกรรม 2.ควรชวนคุย ประวิงเวลาให้มีโอกาสทบทวน และ 3.ควรติดต่อหาความช่วยเหลือ เช่น บุคคลที่ใกล้ชิดผู้ที่คิดฆ่าตัวตายที่สุดขณะนั้น" นพ.เจษฎากล่าว
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงว่า ช่วงอายุที่ฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่ากลุ่มอื่น คือ อายุ 35-39 ปี โดยพบว่าอายุต่ำสุดคือ 10 ขวบ สูงสุด 93 ปี แต่อายุ 35-39 ปี ฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่ากลุ่มอื่น
ที่มา: มติชนออนไลน์