คนรุ่นใหม่ออกฤทธิ์ คิด-ทำเปลี่ยน
กิจกรรม "รุ่นใหม่ออกฤทธิ์ คิด-ทำเปลี่ยน" ชวนวัยรุ่นตามหาความหมายของชีวิต ในโครงการผู้นำแห่งอนาคต Leadership for the Future
ถ้าวัยรุ่นหลายคนกำลังตามหาความหมายของชีวิต ที่โครงการผู้นำแห่งอนาคต Leadership for the Future ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อาจจะมีคำตอบให้หรือกระตุกความคิดได้บ้าง เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดกิจกรรม "รุ่นใหม่ออกฤทธิ์ คิด-ทำเปลี่ยน" ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ภายในงานมีเวทีแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์จากคนรุ่นใหม่หลากสไตล์ ทุกคนล้วนมีวิถีทางชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนมีจุดร่วมเดียวกันคือ "ลงมือทำเพื่อก่อการเปลี่ยนแปลง"
อภิศักดิ์ ทัศนีย์ หรือน้ำนิ่ง เด็กหนุ่มวัย 19 ปี ผู้นำกลุ่ม Beach for Life ปกป้องหาดสมิหลา จ.สงขลา เขาบอกว่า จุดเริ่มต้นของการลุกขึ้นมาปกป้องหาด เกิดจากความทรงจำในวัยเด็กที่สามารถวิ่งเล่นบนหาดทรายได้อย่างมีความสุข แต่เวลาผ่านไปเกิดความเปลี่ยนแปลงบนหาดสมิหลาหลายอย่าง เขาและเพื่อนๆ จึงรวมตัวกันเพื่อปกป้องหาดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
"เราเป็นห่วงปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่งที่หาดสมิหลา ผมรวมกลุ่มเพื่อนตั้งกลุ่ม Beach for Life ขึ้นลับๆ ในโรงเรียนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทีนี้ปัญหาใหม่ก็เกิดซ้อนทับขึ้นมา เพราะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการนำกระสอบทรายขนาดใหญ่มาวางตามแนวชายหาด ซึ่งการทำแบบนี้แก้ปัญหาไม่ได้จริง เพราะโครงสร้างแข็งไม่เหมาะกับการแก้ปัญหา ทำให้หายพังไปเรื่อยๆ จากจุดเล็กๆ ก็ลุกลามขยายใหญ่ขึ้น"
จุดเริ่มต้นจากหนึ่งโรงเรียน น้ำนิ่งได้ชักชวนเพื่อนต่างสถาบันอีก 9 โรงเรียนในเมืองสงขลา เพื่อรวบรวมเยาวชนที่มีเป้าหมายเพื่อปกป้องชายหาดเหมือนกัน และร่วมกันลงพื้นที่ศึกษาปัญหาชายหาดอย่างจริงจัง พร้อมกับเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นอีก 11 ครั้งจนได้ร่างธรรมนูญขึ้น ชื่อว่า ธรรมนูญเยาวชนอนุรักษ์หาดสมิหลาอย่างยั่งยืน ซึ่งผ่านเข้าสภาเทศบัญญัติเป็นกติกาเพื่อดูแลหาดสมิหลาร่วมกัน และเร็วๆ นี้ จะมีการรื้อโครงสร้างแข็งรอบหาด ซึ่งถือว่างานของเยาวชนกลุ่มนี้สำเร็จไปแล้วระดับหนึ่ง
"กลุ่ม Beach for Life เริ่มจากเด็กกลุ่มเล็กๆ ที่รักหาด จนตอนนี้มีหลายกลุ่มเข้ามาทำงานร่วมกับเรา หลายครั้งที่พ่อแม่ห้ามปรามเพราะกลัวเราจะเป็นอันตราย แต่ทุกครั้งที่เราออกไปทำกิจกรรม ผมจะเห็นรอยยิ้มที่คอยเป็นกำลังใจส่งให้มาเสมอ หลายคนถามผมว่าทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไร สิ่งที่ผมทำอย่างน้อยก็ทำให้เราได้รอยยิ้มที่เคยมีตอนเด็กๆ กลับมา"
"อีกอย่างหนึ่งคือ การศึกษาความเป็นมาของหาด การทำกิจกรรมของพวกเรามันช่วยเรื่องเรียนได้ด้วยครับ ผมมีความรู้เรื่องทะเลเพิ่มเติม ได้เรียนรู้ระบบนิเวศทางทะเล ทิศทางลม คลื่น ซึ่งทุกอย่างเป็นข้อมูลทางวิชาการที่เป็นประโยชน์สำหรับการเรียนรู้ ส่วนเรื่องที่ผมอยากจะทำต่อไปคือ การศึกษาเรื่องกฎหมายเพื่อนำมาใช้ในการปกป้องชายหาดของเราอย่างยั่งยืน เพื่อจะนำข้อมูลไปเผยแพร่ให้กับคนในเมืองรับรู้ต่อไป" ผู้นำกลุ่ม Beach for Life อธิบาย
พร้อมสิริ ภาษยะวรรณ์ หรือพร้อม สาวหน้าคมจาก จ.ชุมพร ผู้เลือกการศึกษาที่แตกต่างด้วยการหันหลังให้ระบบการศึกษาหลัก ที่ครั้งหนึ่งเธอเป็นนักเรียนที่วิ่งไล่ตามการเป็นที่หนึ่ง มีเป้าหมายที่จะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำ จนกระทั่งวันหนึ่งตัดสินใจไม่เรียนต่อ
"ตอนที่คิดว่าจะไม่เรียนต่อคือ ตอนอยู่ ม.3 แต่เรายังเรียนจนจบ ม.6 ที่ตัดสินใจตอนนั้น เพราะเราพบว่าสิ่งที่พยายามทำคือ วิ่งรอกเรียนพิเศษ ติวทุกคลาสที่เขาจัด ขึ้นกรุงเทพฯ ทุกอาทิตย์ ลงไปเรียนสงขลาอีก จนแม่กับพ่อถามว่าเรามีความสุขไหม บอกเลยตอนนั้นไม่มีความสุขเลย จึงคิดว่าจะไม่เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว"
"พอตัดสินใจไม่เรียนต่อ ตอนนั้นยิ่งทุกข์หนักคว้างไปเลย เพราะเรารู้สึกว่าความมั่นคงทั้งหมดหายไป ญาติๆ ก็มองด้วยสายตาตั้งคำถาม ขณะที่ญาติพี่น้องรุ่นเดียวกันทยอยเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ตอนนั้นปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลยเป็นปีๆ จนรู้สึกเราไร้ค่า วันหนึ่งคุณลุงที่เป็นชาวต่างชาติพาไปว่ายน้ำ ว่ายออกไปกลางทะเล ตอนว่ายไปใจก็กลัวว่าจะจม แต่ก็ต้องว่าย เพราะถ้าไม่ทำเราจะจมจริงๆ เราทำแบบนี้ทุกวันจนเราไม่กลัว และคิดได้ว่าเราจะไม่จม เราจึงมั่นใจว่าเส้นทางที่เราเลือกมันจะต้องดีสำหรับเรา"
จากนั้นไม่นาน เด็กสาวชาวชุมพรก็ตัดสินใจเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชีวิต สถานที่ที่ทำให้เธอเข้าใจการใช้ชีวิตกับคนหลากหลายวัย เข้าใจชีวิตและการเข้าสังคมแบบผู้ใหญ่ "ตอนนี้ถ้ามีใครถามว่าพร้อมทำอะไรอยู่ พร้อมก็จะบอกว่าพร้อมใช้ชีวิต ทุกวันนี้ได้ตื่นมาทำสวน อยู่กับครอบครัว ได้มองดูใจตัวเอง ทำความรู้จักกับความทุกข์ความสุข มหาวิทยาลัยชีวิตทำให้พร้อมมีเพื่อนหลายวัย มีคนที่ประสบความสำเร็จและเคยล้มมาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง เป็นการเรียนรู้ทางลัดดีๆ อีกทางหนึ่ง" ที่สุดแล้ว พร้อม บอกว่า ชีวิตแบบที่เธอเลือกไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ เพราะความมั่นคงของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วันนี้พร้อมเจอความมั่นคงนั้นแล้ว และกำลังพยายามทำให้ดีที่สุด
อนุกูล ทรายเพชร หรือแอ็คชั่น หนุ่มวัย 29 ปี ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรอินทรีย์และผู้ก่อตั้งแบรนด์ FolkRice หลังจากเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาก็แปลงร่างไปเป็นชาวนา จึงได้เรียนรู้ระบบการซื้อขายและเกิดไอเดียใหม่จากระบบนี้ "ผมสังเกตว่าชาวนาส่วนใหญ่จะรวมกลุ่มกันเพื่อขายข้าว แต่ไม่เคยทำให้ผู้ซื้อรวมกลุ่มกันซื้อ ผมเลยเกิดความคิดทำแอพพลิเคชั่นชื่อ FolkRice เพื่อเป็นเครื่องมือให้คนทั่วไปเข้าถึงข่าวสารจากชาวนาได้โดยตรง ซึ่งเราจะมีขั้นตอนกระบวนการผลิตข้าวตั้งแต่เริ่มต้นลงไปในแอพด้วย ซึ่งตัวเกษตรกรจะเป็นคนให้ข้อมูลเอง เป็นการการันตีว่า กว่าจะมาเป็นข้าวให้ได้กินนั้นมีวิธีการทำที่ปลอดภัย
"เราเก็บส่วนแบ่งจากการขาย 10% โดยจะเก็บเป็นข้าว ไม่ใช่เงิน และจะหาทางนำข้าวที่เก็บจากชาวนาไปขายต่อเพื่อหล่อเลี้ยงงานของเรา โดยในระบบของ FolkRice จะมีข้อมูลของข้าวพันธุ์ท้องถิ่นต่างๆ รวบรวมอยู่ด้วย ผมว่าเป็นการทำงานที่ได้สองต่อ คือชาวนาได้ประโยชน์และได้ฝึกใช้เทคโนโลยี ได้สื่อสารกับคนกินข้าวโดยตรง กับผู้บริโภคสามารถเรียนรู้ชาวนา และที่มาของข้าวที่เขาซื้อไปด้วย" แอ็คชั่น สรุป
ขณะที่ อาภากร บุตรจันทา หรืออุ้ย เกษตรกรรุ่นใหม่วัย 31 ปี เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ปฏิเสธการทำงานที่เสนอค่าตอบแทนเหยียบ 2 แสนบาทต่อเดือน และเลือกกลับไปทำนาทำสวนที่บ้าน เพราะเขาคิดว่าเกษตรกรไม่จำเป็นต้องเป็นคนสูงอายุ และทำไมทำเท่าไหร่ก็ไม่รวย
"พ่อผมผลักดันให้ผมอยากเป็นเกษตรกร ต่อให้ผมเรียนสูงแค่ไหนไปไกลเท่าไหร่ สุดท้ายก็ต้องกลับบ้าน ผมเคยลองไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น และได้รับข้อเสนอให้ทำงานที่นั่น ซึ่งเป็นงานด้านการเกษตร แต่ผมปฏิเสธ เพราะผมคิดว่าที่บ้านเราดีที่สุด"
อุ้ยเรียนรู้การทำไร่ทำสวน โดยศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ต่างๆ จนถ่องแท้ เขาตั้งตัวจากเงินทุน 200 บาท เพาะกล้าต้นไม้ไว้ หวังจะปลูกในไร่ตัวเอง แต่โอกาสชักนำให้เป็นในอาชีพและสร้างรายได้เลี้ยงดูคนในบ้านได้
"ด้วยต้นทุนเพียง 200 บาท ผมมีกินมีใช้เลยนะทุกวันนี้ ได้ทำสิ่งที่มีความสุขทุกวัน คือได้เฝ้ามองการเติบโตของต้นไม้ที่เราปลูก มันเป็นการทำงานที่ไม่ได้เบียดเบียนใครเลย ได้เห็นสิ่งมีชีวิตและได้กำไรจากการเพาะปลูก ผมว่าชีวิตผมน่าอิจฉามากกว่าการได้เงินเดือน 2 แสนอีกนะ" เกษตรกรหนุ่ม กล่าวด้วยรอยยิ้ม
มีคำถามพุ่งตรงไปที่พวกเขาว่า ไม่กลัวความล้มเหลวหรือ เพราะสิ่งที่ทำอยู่นอกกระแสหลัก พวกเขาเลือกที่จะทำสิ่งที่หลายคนคิดว่าต้องใช้ความกล้าที่ยิ่งใหญ่เพราะอะไร?
ทุกคนล้วนบอกไปในทิศทางเดียวกันว่า สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือต้องใช้ความกล้าอะไรเลย แค่ตัดสินใจทำตามความฝัน และการลงมือทำอย่างทันทีจะสามารถชนะความกลัวได้ และที่สำคัญสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ ไม่ใช่ทางเลือก…หากแต่เป็นทางรอดต่างหาก
บางคนเลือกเพื่อทางรอดของตัวเอง บางคนลงมือทำเพื่อทางรอดของชุมชน และอีกคนทำเพื่อให้อาชีพของตัวเองอยู่รอดไปถึงลูกหลาน
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต