ขยับยกครัว-แข็งแรงยกบ้าน
ชวนขยับทั้งชุมชน
สังคมเมืองยุคปัจจุบัน ที่หลายคนต้องจดจ่อกับหน้าที่การงาน การเรียน จนทำให้ละเลยหรือไม่มีเวลาสำหรับสุขภาพตัวเองมากนัก การออกกำลังกาย ถือเป็นวัคซีนชั้นดี ที่ไม่มีใครสามารถผลิตได้ ฉะนั้น การออกกำลังกายจึงต้องสร้างขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งการออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไร เพราะอยู่ที่ไหน ใครๆ ก็สามารถออกกำลังกายได้
ถือเป็นความร่วมมือในการสนับสนุนให้หลายคนได้มีสุขภาพดี การเคหะแห่งชาติ ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมลงนามปฏิญญาการออกกำลังกาย ในโครงการเสริมสร้างวิถีชีวิตสุขภาวะของชุมชน “การเคหะ – สสส. ชวนขยับทั้งชุมชน” ที่จะเริ่มโครงการนำร่อง 12 ชุมชนของการเคหะฯ ก่อนที่จะขยายออกไป
จากการสำรวจ “ความคิดเห็นความต้องการด้านกิจกรรมการออกกำลังกายของประชาชนที่อาศัยในชุมชนการเคหะแห่งชาติ” ของแผนงานส่งเสริมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพ สสส.ร่วมกับการเคหะแห่งชาติ เมื่อเดือน ม.ค.-พ.ค.ที่ผ่านมา ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 แห่ง อาทิ การเคหะชุมชนร่มเกล้า โครงการบ้านเอื้ออาทรบึงกุ่ม บ้านเอื้ออาทรสมุทรปราการ ฯลฯ
การสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ออกกำลังกายเป็นประจำ มีจำนวน 33% กลุ่มตัวอย่างที่ออกกำลังกายนานๆ ครั้ง 67% ซึ่งในจำนวนนี้ 70.40% ระบุว่า ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ อีก 20% เพื่อได้พบปะพูดคุยกับคนอื่น ซึ่งการออกกำลังกายนอกจากสุขภาพแล้ว ถือว่าเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้อีกด้วย ทั้งนี้ จากการสำรวจยังพบว่า สิ่งที่ชุมชนต้องการมากที่สุด คือ การมีสถานที่ที่เหมาะสมกับการออกกำลังกาย รองลงมาคือการบริหารจัดการที่ดี
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อธิบายว่า การออกกำลังกายสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนเครื่องมือราคาแพง แต่ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า พบว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้วอัตราการออกกำลังกายเป็นประจำมีสูงมากถึง 50% ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายในการทำให้ประชาชนหันมาออกกำลังกายเป็นประจำเพิ่มมากขึ้น และออกกำลังกายเป็นครั้งคราวเพิ่มมากขึ้น
“การออกกำลังกายไม่สามารถบังคับได้ แต่ชุมชนต้องมีความเข้มแข็งในตัวเองที่จะสามารถนำกิจกรรมที่คนในชุมชนต้องการมาปรับเพื่อใช้ร่วมกันได้ เช่น ในชุมชนมีคนสูงอายุมาก การออกกำลังกายด้วยวิธีแอโรบิกอาจไม่เหมาะเพราะหนักเกินไป ก็อาจต้องใช้กิจกรรมอื่น เช่น การรำไท้เก๊กก็จะเหมาะสมกว่า แต่หากมีเด็กและเยาวชนจำนวนมาก ก็อาจปรับเป็นกิจกรรมแอโรบิก หรือการเต้นบีบอย ซึ่งอยู่ในความสนใจของเด็กได้ ซึ่ง สสส.จะเข้าไปมีส่วนช่วยในการทำให้เกิดความยั่งยืนขึ้น ซึ่งในอนาคตจำเป็นต้องขยายโครงการออกไป เพื่อให้คนไทยเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย และทำให้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นลงบันได การเดินแทนการใช้สิ่งอำนวยความสะดวก” ทพ.กฤษดา กล่าว
สำหรับการดำเนินโครงการจะมีหลักการ 5 ข้อ คือ 1. จัดอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชน กรรมการชุมชน ผู้นำกลุ่ม 2. เสริมสร้างสุขภาพผู้อยู่อาศัย โดยต่อยอดกิจกรรมที่เป็นที่สนใจอยู่เดิมในชุมชน เช่น กลุ่มแอโรบิก ไท้เก๊ก รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดกลุ่มออกกำลังกายใหม่ๆ ขึ้น 3. สนับสนุนความเกื้อกูลระหว่างชุมชน จัดแข่งขันกีฬาเชื่อมสัมพันธ์อาทิ กีฬาฟุตบอล แบดมินตัน บาสเกตบอล เป็นต้น 4. ฟื้นฟูและให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ 5. จัด ‘ฟิตเนสชุมชน‘ โดยร่วมพัฒนาลานอเนกประสงค์ของการเคหะฯ ให้กลายเป็นลานกีฬากลางแจ้ง ที่ชาวชุมชนร่วมกันนำวัสดุอุปกรณ์เหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นเครื่องออกกำลังกาย
การใช้เครื่องมือในการออกกำลังกายอย่างง่ายๆ มีการนำตัวอย่างที่น่าสนใจมาโชว์ ซึ่งสามารถทำได้เองทุกครัวเรือน คือ การใช้หนังยาง หรือหนังสติ๊ก ที่ทุกบ้านต่างรู้จักกันดี มาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน และนำไปใช้ในการออกกำลังกาย ซึ่งสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา
ตัวอย่างของสิ่งง่ายๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ได้จริง และมีประโยชน์จริงๆ ซึ่งพบว่า การนำหนังสติ๊กมาใช้ สามารถออกกำลังกายเพื่อบำบัด รักษาเพื่อฟื้นฟูร่างกายเมื่อเจ็บป่วย เพื่อเสริมสร้างร่างกาย
ถ้าเป็นวัยเด็ก การเล่นยางยืดกล้ามเนื้อ จะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและกระดูก เพื่อให้มีพัฒนาการของกล้ามเนื้อที่ดี
ถ้าเป็นวัยหนุ่มสาว การเล่นยางยืด จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งร่างกายให้รูปร่างกระชับได้สัดส่วน ป้องกันการเสื่อมของกระดูกก่อนวัยอันควร
ถ้าเป็นวัยผู้ใหญ่ การเล่นยางยืด จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของการสึกหรอของอวัยวะต่างๆ เช่น กระดูก อาการปวดหลัง ปวดเข่า ปวดข้อ ช่วยให้บุคลิกดีขึ้น
ถ้าเป็นวัยสูงอายุ การเล่นยางยืด จะช่วยชะลอการเสื่อมของร่างกาย บำบัดอาการข้อเสื่อม ช่วยระบบประสาทรับรู้การสั่งงาน และสร้างความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้ทำงานร่วมกัน
เห็นได้ว่าแค่หนังยางที่นำมาร้อยรวมกันเพียงเส้นเดียว สามารถสร้างประโยชน์ได้ตั้งแต่วัยเด็กถึงวัยชรา แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องยาก ไม่เป็นการสิ้นเปลืองใดๆ สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลา
ชุมชนที่มีประชาชนอยู่รวมกันจำนวนมาก การใช้พื้นที่ในการออกกำลังกายอาจมีจำกัด หากสามารถปรับใช้พื้นที่ให้เหมาะสม ก็จะเกิดประโยชน์ต่อคนในชุมชนอย่างมาก
นายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) อธิบายต่อว่า การเคหะแห่งชาติมีหน้าที่หลักในการเสริมสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัย สิ่งที่ต้องคำนึงเป็นอันดับแรก คือ ทำอย่างไรให้คนจำนวนมากอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางสังคมแวดล้อมที่ดี มีสุขภาวะทางกายและจิตดี เชื่อว่า การร่วมมือกันกระตุ้น และสนับสนุนให้ชาวชุมชนเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย ก็จะช่วยยกระดับสุขภาวะของผู้อยู่อาศัยในชุมชนการเคหะฯ และบ้านเอื้ออาทร กว่า 2 ล้านคน จาก 500 ชุมชนทั่วประเทศให้ดียิ่งขึ้น
จะรอช้าทำไม ลุกขึ้นมาขยับกันได้ทันที!!
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
Update : 16-09-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร