กินปลาช่วยชาติ เงินหดน้อย พุงไม่มา โรคภัยไม่มี
ชี้ ปลาน้ำจืดมีโอเมก้า-3 สูงไม่แพ้ปลาทะเล ลดเสี่ยงการเกิดโรค
สสส. – กรมประมง – ก.พาณิชย์ – เครือข่ายคนไทยไร้พุง ชวน “กินปลาช่วยชาติ เงินหดน้อย พุงไม่มา โรคภัยไม่มี” เผยแม้ปลามีประโยชน์ช่องป้องกันโรคเรื้องรัง แต่คนไทยกินน้อยแค่ 32 กก.ต่อคนต่อปี ทิ้งห่างญี่ปุ่นเท่าตัว ปลานิลคนไทยกินเยอะที่สุด ส่งออกสูงสุด คนอีสานแชมป์.com ชอบปลาภาคกลางมาอันดับสุดท้าย หมอแนะ ต้องกินไม่น้อยกว่า 2 – 3 มื้อต่อสัปดาห์ รณรงค์บริโภคปลาน้ำจืด ชี้มีโอเมก้า 3 สูงไม่แพ้ปลาทะเล แถมราคาถูก เหมาะยุคเศรษฐกิจซบ
ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดแถลง เครือข่ายคนไทยไร้พุง ตอน “กินปลาช่วยชาติ เงินหดน้อย พุงไม่มา โรคร้ายไม่มี” ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการกองทุน สสส.กล่าวว่า ปลาอยู่ในกลุ่ม 3 อาหารหลักเพื่อสุขภาพ ที่ควรบริโภค คือ ข้างกล้อง ผักพื้นบ้าน และปลา แม้จะทราบดีว่า ปลามีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงย่อยง่าย ช่วยพัฒนาระบบประสาทในเด็ก และทารกในครรภ์ ไม่มีไขมันที่อันตรายต่อหัวใจ แต่คนไทยยังบริโภคปลาน้อย เพียง 32 กก.ต่อคนต่อปี ขณะที่สหรัฐบริโภคปลา 50 กก.ต่อคนต่อปี ญี่ปุ่นบริโภค 69 กก.ต่อคนต่อปี
“ปลาเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ เมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อื่น มีโปรตีนคุณภาพดีวัดได้ถึงร้อยละ 76 ในขณะที่เนื้อวัววัดได้ร้อยละ 74.6 สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ สร้างกล้ามเนื้อได้มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน เพราะลดการเกาะตัวของเม็ดเลือด ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ กระตุ้นการสร้างสารเคมีซีโรโทนินในสมอง มีฤทธิ์ต้านการซึมเศร้า เป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างเซลล์ประสาทในเด็กและทารกในครรภ์” ศ.พญ.ชนิกา กล่าว
ศ.พญ.ชนิการ กล่าวอีกว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าโอเมก้า 3 มีเฉพาะในปลาทะเล แต่ในปลาน้ำจืดก็มีโอเมก้า 3 สูง บางประเภทสูงกว่าปลาทะเล เช่น ปลาสวายเนื้อขาว มีโอเมก้า 3 สูงถึง 2,570 มก.ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ปลาช่อนมีโอเมก้า 3 ถึง 870 มก.ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ขณะที่ปลาแซลมอลมีโอเมก้า 3 ประมาณ 1,000 – 1,700 มก.ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ปลากะพงขาว 310 มก.ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ส่วนใหญ่ปลาน้ำจืดมีราคาต่ำกว่าปลาทะเล ในภาวะน้ำมันแพง สินค้าราคาสูง สามารถเลือกบริโภคปลาราคาต่ำ แต่มีประโยชน์สูงอย่างปลาน้ำจืดภายในประเทศ ลดการบริโภคปลานำเข้า ที่คุณค่าทางอาหารจะลดลงไปเมื่อถูกแช่แข็ง โดยมีการพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงให้ปราศจากการปนเปื้อนของพยาธิ
นพ.ฆนัท ครุฑกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและโภชนาวิทยาคลินิก ศูนย์หัวใจ หลอดเลือด และเมแทบอลิซึม รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า โอเมก้า 3 เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งพบมากในสาหร่ายและปลา ถ้าบริโภคปลาสม่ำเสมอจะได้รับโอเมก้า 3 เพียงพอ สมาคมแพทย์โรคหัวใจสหรัฐฯ แนะนำให้บริโภคปลาไม่น้อยกว่า 2 มื้อต่อสัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำมันปลามาทานเพิ่ม เพราะการได้รับน้ำมันปลาเสริมมากเกินไป อาจเกิดปัญหาเลือดออกง่าย โดยเฉพาะผู้ที่ทานยาแอสไพรินอยู่ อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกในสมองได้ ทั้งนี้การปรุงอาหารควรเป็นการต้มหรือการนึ่ง ไม่ควรทอดหรือผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม เพราะโอเมก้า 3 เมื่อผ่านความร้อนสูงจะสลายตัวได้
ดร.นฤพล สุขุมาสวิน ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศ กรมประมง กล่าวว่าภาคที่บริโภคปลาน้ำจืดมากที่สุดคือ 1.ตะวันออกเฉียงเหนือ 2.ภาคเหนือ 3.ภาคตะวันออก 4.ภาคตะวันตก 5.ภาคกลาง ปลานิลคือปลาที่บริโภคมากที่สุดและส่งออกมากที่สุด ไทยส่งออกปลามากเป็นประเทศที่ 3 ของโลก รองจากจีนและนอร์เวย์ ปี 2550 ส่งออก 1,163,398 ตัน มูลค่า 85,230 ล้านบาท นำเข้า 1,298,061 ตัน มูลค่า 53,077 ล้านบาท
“ผู้บริโภคส่วนใหญ่คิดว่าปลาน้ำจืดของไทยที่เพาะเลี้ยง อาจปนเปื้อนสิ่งตกค้างจากสารเคมีหรือยาปฏิชีวนะ กรมประมงจึงทำโครงการรับรองมาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดมาตั้งแต่ปี 2546 โดยรับรองมาตรฐานขั้นปลอดภัย (safety level) และมาตรฐานการปฏิบัติทางประมงที่ดี (GAP) มีฟาร์มที่ได้รับรอง safety level และ GAP 3,500 ฟาร์ม นอกจากนี้ กรมประมงร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ทำโครงการนำร่องพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปลาน้ำจืด โดยรับสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์ พัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาน้ำจืดให้ได้มาตรฐาน ทั้งด้านคุณภาพความปลอดภัย นำร่องที่ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ ชลบุรี และกรุงเทพฯ” อธิบดีกรมประมง กล่าว
นางวิไลวรรณ ทัพวงศ์ศรี ผอ.สำนักสิทธิประโยชน์ทางการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การจัดทำเขตการค้าเสรีอาเซียน (FTA) อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปลาน้ำจืด ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของคนไทย กระทรวงพาณิชย์จึงได้สนับสนุนงบประมาณในการช่วยให้เกษตรและผู้ประกอบการปลาน้ำจืดสามารถปรับตัวให้อยู่รอดหรือพัฒนาศักยภาพให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ซึ่งนอกจากส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมปลาน้ำจืดไทยแล้วยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชนโดยรวมด้วย
นายเอกสิทธิ์ อรรถจินดา ประธานสหกรณ์ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปลาน้ำจืดเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ มีโปรตีนสูง ราคาถูก ดังนั้นในยุคน้ำมันแพง เศรษฐกิจซบเซา ทางกระทรวงพาณิชย์อยากรณรงค์ให้ประชาชนไทยหันมาบริโภคปลาน้ำจืดให้มาก นอกจากเป็นการช่วยเกษตรกรแล้ว ยังได้ผลดีต่อสุขภาพ และประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย ส่วนที่ยังกังวลเรื่องพยาธิและปลอดภัยนั้น ขณะนี้มีการพัฒนาฟาร์มเข้าสู่ระบบ GAP หลายฟาร์ม ซึ่งอนาคต สินค้าที่ได้มาตรฐาน GAP ทางกรมประมงจะทำตรารับรองผลิตภัณฑ์ต่อไป
ที่มา : สำนักข่าว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
Update 09-06-51