กลุ่มคู่รักวัยรุ่นจัดวาเลนไทน์ ชู“รัก เข้าใจ ไม่ทำร้ายกัน”
ที่มา : บ้านเมืองออนไลน์
ภาพประกอบจากบ้านเมืองออนไลน์
ต้อนรับวาเลนไทน์! กลุ่มคู่รักวัยรุ่นรวมตัวจัดกิจกรรม“รัก…เข้าใจ ไม่ทำร้ายกัน” เผยผลสำรวจพบคู่รักเพียง 1ใน3ที่เกิดปัญหาแล้วใช้การพูดคุยทำความเข้าใจ กว่า20%ที่ทะเลาะกันบ่อย สาเหตุอมตะ ไม่มีเวลาให้กัน หึงหวง นอกใจ ไม่ไว้ใจ และ8%เป็นปัญหาจากสุรายาเสพติด พร้อมถอดประสบการณ์ชีวิตจากคู่รักที่ปฎิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบ
กลุ่มเยาวชนจากเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ เครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน ร่วมกับ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในโอกาสวันวาเลนไทน์ 2562 ภายใต้แนวคิด “รัก…เข้าใจ ไม่ทำร้ายกัน” ทั้งนี้มีการแสดงละครจำลองเหตุการณ์ ชุด “ฉากจบความรัก…ที่ไม่เข้าใจและทำร้ายกัน”โดยเครือข่ายละครเฉพาะกิจเธียเตอร์
นายวทัญญู แสงแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของคู่รักต่อประเด็น “ความรักกับความรุนแรง” โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน1,300 ราย พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล พบสถานการณ์ความรักของกลุ่มตัวอย่างเกินครึ่ง หรือ 61.66 % มีปัญหาเนื่องจากเข้าใจกันบ้างไม่เข้าใจกันบ้าง 19.98 %ทะเลาะกันบ่อย 15.51% เข้าใจกันดี เมื่อถามถึงสาเหตุที่ต้องทะเลาะกัน ส่วนใหญ่เกิดจาก 19.21% ไม่มีเวลาให้กัน 18.27% หึงหวง 13.26% ไม่ไว้ใจกัน 14.39% นอกใจ 16.95 %เอาแต่ใจ 8.22% มีปัญหาสุรา/ยาเสพติด และ 5.39%มีปัญหาด้านการเงิน
“คู่รัก1ใน3 หรือ 38.56% เมื่อมีปัญหากัน เลือกที่จะใช้วิธีคุยและปรับความเข้าใจกัน แต่ที่น่าห่วงคือ19.38% มักจะจะทะเลาะโต้เถียง มีปากเสียงกัน 15.21% ชอบพูดจาเสียดสี ประชดประชัน 14.05%ไม่อยากคุยปล่อยให้มันผ่านไปเอง และ 5.86% มีการทำลายข้าวของ 5.17%ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย” นายวทัญญู กล่าว
นายวทัญญู กล่าวว่า เมื่อถามถึงมุมมองความรุนแรงของคู่รักในสังคมปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่างระบุว่า 47.75%มีการใช้ความรุนแรงมากขึ้น เช่น ทำร้ายร่างกาย บางรายถึงขั้นฆ่ากันตาย และปัญหาคือคนในสังคมยังไม่ให้ความช่วยเหลือ มองเป็นเรื่องครอบครัวเรื่องส่วนตัว ซึ่งกลุ่มตัวอย่างมองว่าสาเหตุการใช้ความรุนแรงของคู่รักในสังคม เกิดมาจาก 23.97%ต่างคนต่างอยากเอาชนะ 23.32%ดื่มสุราใช้ยาเสพติด17.18%ไม่ปรับตัวเข้าหากัน 14.83% นอกใจ 10.04% แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างยังเสนอแนวทางแก้ปัญหาความรุนแรงในคู่รัก คือสังคมต้องช่วยกันดูแล ไม่มองปัญหาเป็นเรื่องส่วนตัว เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด รวมถึงรณรงค์สร้างทัศนคติไม่ใช้ความรุนแรงในคู่รักอีกด้วย
นายจะเด็จ เชาว์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า ผลสำรวจข้างต้นสะท้อนชัดเจนว่า ภาพความรักกับความรุนแรงในสังคมยังไปด้วยกัน และสถานการณ์ปัญหาความรุนแรงยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยลงเลย นี่เป็นความจริงของวัยรุ่นและเมื่อเขาเติบโต ทัศนคติ ความคิดความเชื่อในเรื่องความรุนแรงก็จะเติบโตตามไปด้วย เมื่อเกิดความไม่ไว้วางใจหึงหวง จึงง่ายมากที่จะแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ดังนั้นอยากเชิญชวนคู่รักวัยรุ่น ใช้โอกาสวันวาเลนไทน์นี้มองความรักในรูปแบบใหม่ อย่ามองเป็นเรื่องของหน้าตา ความสวยความหล่อเป็นตัวตั้ง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่คงทนถาวร สุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความหึงหวง ความเป็นเจ้าของ นำมาสู่ปัญหาทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกาย หลายรายที่ถึงขั้นต้องเสียชีวิต
"ความรักที่ยังยืน ควรมองแบบลึกซึ้ง ไม่ฉาบฉวย มองที่นิสัยตัวตน มองทัศนคติ การใช้ชีวิต การช่วยเหลือกัน ที่สำคัญต้องให้เกียรติ เคารพในสิทธิเนื้อตัวร่างกาย ความรักไม่ใช่สิ่งของที่สามารถไปครอบครองกันได้ ทุกคนมีความเท่าเทียม อย่าไปละเมิดขอบเขตความเป็นมนุษย์ ควรนำพลังความรักไปใช้ให้เกิดประโยชน์ รู้จักให้อภัย ให้โอกาสตามสมควร ซึ่งปัจจุบันชายหญิง เพศหลากหลาย มีสิทธิเท่าเทียมกัน ทั้งนี้อยากให้กระทรวงศึกษาธิการ เน้นเรื่องเพศศึกษาและปรับวิธีคิด เป็นหลักสูตรที่ทันต่อเหตุการณ์และนำไปใช้ได้จริง” นายจะเด็จกล่าว
นางสาว ปานิตา ฮุมเม็ล ร็อธ หรือ ดีเจพานิ ปานิตา คลื่น Met107 อายุ 28 ปี กล่าวว่า อยากแชร์ประสบการณ์ความรักของตนเอง ซึ่งขณะนี้คบกับแฟนมา7ปี และตัดสินใจแต่งงานเมื่อปีที่ผ่านมา คือ เราสองคนตกลงกติการร่วมกันก่อนแต่งงาน ว่าเราต้องเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน สัญญาว่าความรักความสัมพันธ์ก่อนแต่งงานและหลังแต่งานเป็นอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น ซึ่ง ความต้องการทางเพศของผู้หญิงและผู้ชายมีไม่เท่านั้น ดังนั้นกรอบกติกาที่เราวางไว้ร่วมกันคือ หากอีกฝ่ายบอกว่าไม่พร้อมคือต้องยอมรับและเข้าใจให้เกียรติ ไม่บังคับใจเด็ดขาด ที่สำคัญเราตกลงกันว่าห้ามใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบทั้งคำพูดและการกระทำ
“ก่อนเราทั้งสองจะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ก็จะมานั่งคุยตีกรอบ วางกติการ่วมกัน ว่าจะไม่ข้ามเส้นความเป็นส่วนตัว ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทำร้ายร่างกาย หรือพูดจาบั่นทอนจิตใจ ไม่ใช้คำพูดเพื่อความสะใจเพราะมันไม่มีประโยชน์ และเคล็ดลับเวลาเราโกรธกันก็จะแยกย้ายเพื่อลดความโมโหลง ซึ่ง7ปีที่ผ่านมามันทำให้รักกันมากขึ้น ความรักมันราบรื่นมากกว่าช่วงที่เป็นวัยรุ่นด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง และรู้จักที่จะยับยั้งช่างใจมากขึ้น ซึ่งเราหนักแน่นมากที่จะปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบ” ดีเจพานิ กล่าว