กระตุ้นแรงบันดาลใจ…ภารกิจ “พิชิตพุง”

          อาหารที่เรารับประทานอย่างเอร็ดอร่อยในแต่ละวัน โดยเฉพาะรสชาติถูกปากอย่าง หวาน มัน เค็ม นำมาซึ่งสารพัดโรคสู่ร่างกาย และยังเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญต่อการเกิดห่วงยางรอบเอว แม้ว่าจะเป็นคนรูปร่างผอม บาง แต่หากมีพุงซึ่งเป็นแหล่งสะสมของไขมัน ก็เสมือนมีเพชฌฆาตเงียบอยู่กับตัว


/data/content/24976/cms/e_dfjnrwxy1678.jpg


          เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และตระหนักที่จะเริ่มต้นลดพุง ลดโรค ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีการแถลงข่าวกิจกรรม "ยุทธการลดหวาน มัน เค็ม และภารกิจพิชิตพุง" ซึ่งเป็นกิจกรรมเสริมนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้สุขภาวะ และสอดคล้องกับนิทรรศการลดพุง ลดโรค ที่จะจัดแสดงช่วง ก.ค.-ก.ย.นี้


          นางเบญจมาภรณ์ จันทรพัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าการบริโภคอาหารของคนไทยมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่เหมาะสม ทั้งการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ เลือกบริโภคตามใจชอบ ทานอาหารรสหวาน มัน หรือเค็ม เกินความเหมาะสม ทำให้เกิดภัยเสี่ยงต่อสุขภาพ ประกอบกับขาดการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมทางกายที่เหมาะสม


   /data/content/24976/cms/e_fhlopstvz158.jpg       "จากสถิติพบว่าคนไทยเป็นโรคอ้วนลงพุง และมีน้ำหนักเกินมาตรฐานเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาโรคเรื้องรังต่างๆ ตามมา ทั้งโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารทั้งสิ้น ดังนั้นทาง สสส.จึงต้องการสื่อสารในเรื่องของอาหารผ่านการจัดกิจกรรมนี้"


          สำหรับกิจกรรม "ยุทธการลดหวาน มัน เค็ม และภารกิจพิชิตพุง" จะเป็นตัวเสริมนิทรรศการ "ลดพุง ลดโรค" ที่จะจัดขึ้นปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งแบ่งกิจกรรมเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงที่ 1 (19 มิ.ย.-15 ส.ค.57) นำเสนอประเด็นด้านอาหาร ภายใต้ชื่อ "ยุทธการลด หวาน มัน เค็ม" และช่วงที่ 2 (19 ส.ค.-18 ต.ค.57) นำเสนอประเด็นด้านการออกกำลังกาย ภายใต้ชื่อ "ภารกิจ พิชิตพุง" เพื่อให้เด็กๆ ที่มาชมนิทรรศการได้มีการเรียนรู้ผ่านตัวกิจกรรม ได้รับประสบการณ์ตรงที่สนุกสนานและแฝงความรู้ และน้องๆ จะได้มีความเข้าใจยิ่งขึ้นจากการจำลองภาพให้เห็นจริงในขณะปฏิบัติกิจกรรม


          "โดยคาดหวังว่ากิจกรรมนี้จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจและทัศนคติให้กับคนที่มาชม โดยเฉพาะเด็กๆ และเยาวชนที่จะนำเอาข้อมูลเกี่ยวกับการบริโภคอาหารที่ถูกต้องกลับไปบอกพ่อแม่ บอกเพื่อน รวมถึงสร้างความตระหนักที่จะเริ่มต้น "ลดพุง ลดโรค" เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีความรักสุขภาพมากขึ้น สามารถนำความรู้ความเข้าใจที่ได้รับจากกระบวนการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน" ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กล่าว/data/content/24976/cms/e_ghkloqtv3578.jpg


          นางสาวรุจิรา เจริญยิ่ง ผู้บริหารโครงการนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้สุขภาวะ กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่เน้นกระบวนการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน และการมีส่วนร่วมจากการลงมือปฏิบัติจริงผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ซึ่งสอดคล้องกับนิทรรศการ ลดพุง ลดโรค โดยกิจกรรมในห้องนิทรรศการประกอบด้วย "ยุทธการลดหวาน มัน เค็ม"


          ประกอบด้วย 6 ฐานสุดสนุกคือ 1.ภาพมายา มีการคำนวณปริมาณแคลอรีส่วนเกิน 1 ปี จากอาหารที่ชอบกินแล้วแปลงเป็นไขมัน ว่าหากกินอาหารเหล่านี้ ร่างกายจะ


          เปลี่ยนแปลงหรืออ้วนขึ้นขนาดไหน โดยจะมีชุดไขมันให้ลองสวมใส่ พร้อมชมหนังสั้นของผู้ที่ลดน้ำหนักเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ 2. มนตราอาหาร จะเป็นฐานที่ทำให้ทราบว่าอาหารแต่ละชนิดมีกี่แคลอรี่ ให้เห็นว่าแต่ละเมนูมีน้ำตาล น้ำมัน เกลืออยู่เท่าไหร่ ผ่านการเล่นเกมเหมือนเก้าอี้ดนตรีโดยให้น้องๆ ไปหยิบกล่องแคลอรี ใครได้แคลอรีเยอะสุดในกลุ่มคนนั้นตกรอบ 3.น้ำหวานแปลงกาย เป็นการเอาเครื่องดื่มต่างๆ แล้วนำฉลากออก แล้วเทียบให้เห็นสัดส่วนการบริโภคอาหารต่อวัน และให้เห็นคุณค่าทางอาหาร


          4.DIY แปลงร่าง คือการนำอาหารมามะกะโรนี ทำ DIY เป็นต่างหู นำมาระบายสี ประดิษฐ์เป็นสิ่งของต่างๆ 5.เสบียงเสี่ยงชีวิต คือการเลือกวิธีปรุงอาหารให้ได้พลังงานต่างกัน และ 6.ภารกิจพิชิตหวาน มัน เค็ม การนำอาหารมารวมแคลอรี แล้วหาวิธีการเบิร์นแคลอรีจากอาหารออกไป ส่วนภารกิจพิชิตพุง เป็นกิจกรรมแรลลี่ 5 ฐาน ประกอบด้วย 1.กำเนิดผู้กล้า 2."5 รหัสลับ" (5 สี 5 ทัพพี 5 หมู่) 3.ขยับเพลินๆ 4.เบิร์นแคลอรี 5.Healthy DIY


          ด้าน นายชนะกุล แย้มบุปผา ผู้เข้าแข่งขันรายการ Dance Your Fat Off เผยว่า เมื่อก่อนเคยอ้วนถึง 130 กิโลกรัม และสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 50 กิโลกรัม และยังคงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักก็คือ มีคนเคยบอกว่าหากตัวเองผอมจะหล่อ ประกอบกับเคยป่วยเป็นโรคไขมันพอกตับ เข้ารับการรักษาด้วยอาการโคม่า จึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองจนตอนนี้กลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้น


 


 


        ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

Shares:
QR Code :
QR Code