กรมอนามัยตั้งเป้าเพิ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่50%

ที่มา : เดลินิวส์ 


กรมอนามัยตั้งเป้าเพิ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้ 50% thaihealth


แฟ้มภาพ


กรมอนามัยเผยอัตราเด็กเกิดน้อยต่ำกว่า 7 แสนคนต่อปี อัตราเจริญพันธุ์รวมลดจาก 1.6 เหลือ 1.5 เตรียมเร่งนโยบายเกิดอย่างมีคุณภาพ เลี้ยงลูกด้วยนมตั้งเป้าเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้ 50% ภายในปี 2568


ในการแถลงข่าวรณรงค์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และสัปดาห์นมแม่โลก ภายใต้แนวคิด “นมแม่รากฐานแห่งชีวิต” นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันเรามีนโยบายส่เสริมการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพราะประเทศไทยมีอัตราการเกิดน้อยลงต่อเนื่อง ขณะนี้อัตราการเกิดอยู่ที่ปีละประมาณ 7 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rates – TFR) อยู่ที่ 1.6 และคิดว่าต้องตรึงตัวเลขนี้เอาไว้ให้ได้ แต่จากข้อมูลล่าสุดวันนี้อัตราการเกิดลดลงต่ำกว่า 7 แสน อัตราการเจริญพันธุ์รวมอยู่ที่ 1.5


ในขณะที่ประเทศกำลังเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุท่ามกลางการมีรายได้ระดับปานกลาง เรียกว่า แก่ก่อนรวย ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องเน้นคือทำอย่างไรให้เด็กที่เกิดมาเป็นคนที่มีคุณภาพ ซึ่งคำตอบเริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์คือการส่งเสริมให้แม่เข้าถึงบริการทั้งช่วงตั้งครรภ์ หลังคลอด 6 เดือนที่เด็กจะต้องได้รับนมแม่อย่างเดียว และอีก 550 วันหลังจากนั้นคือการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ บวกกับอาหารเสริมตามวัย


ทั้งนี้ จากตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่ทำร่วมกับองค์การยูนิเซฟ และกระทรวงสาธารณสุขพบว่าคนไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวจนถึง 6 เดือน เพียง 5 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวจนถึง 6 เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อ 2 ปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 23 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับต่างประเทศทั่วโลก


“ตอนนี้รัฐบาลมีโครงการมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงสำคัญในการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก ทั้งทางด้านความฉลาดทางสติปัญญา หรือไอคิว และพัฒนาการทางด้านอารมณ์หรืออีคิว เพราะเซลล์สมองมีการเจริญเติบโตมากที่สุด ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ หากไปสร้างหลังจากช่วงนี้แล้วจะไม่มีประโยชน์ ซึ่งรากฐานสำคัญก็คือนมแม่ โดยตั้งเป้าเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2568” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว


นอกจากนั้นยังได้มีการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560 ห้ามไม่ให้ใครพูดว่านมผงดีกว่านมแม่ ขณะนี้กฎหมายลูก 10 ฉบับก็ออกมาเรียบร้อยแล้ว ภายใน 20 ส.ค.จะทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการอีกครั้ง เพราะตั้งแต่ ก.ย.นี้ทุกอย่างต้องไปเป็นไปตามกฎหมาย สำหรับมาตรการสนับสนุนคือการจัดสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยให้แม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่


ขณะที่ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย ย้ำว่า อยากให้ทุกสถานประกอบการเห็นความสำคัญของการจัดมุมนมแม่ อย่ามองแค่ระยะสั้นว่า จ้างพนักงานมาแล้วต้องทำงานให้คุ้ม แต่ต้องมองระยะยาวว่า หากลูกจ้างหญิงสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ลูกก็จะแข็งแรง ลดการเจ็บป่วย มีสุขภาพที่ดี อนาคตแม่ก็ไม่ต้องลางานบ่อยๆ เพื่อไปดูแลลูกที่ป่วย


สำหรับ พ.ร.บ. นมผง เท่าที่ลงพื้นที่ตรวจร้านค้าจัดจำหน่าย พบว่า ร้านค้ารู้กฎหมายว่ามีผลบังคับใช้แล้ว นมทารกหรือต่ำกว่า 1 ปีนั้นไม่มีการลดแลกแจกแถมเลย และแยกนมสำหรับเด็กเล็กที่มีการโปรโมทออกไปต่างหาก อย่างไรก็ตาม นมสูตร 1 2 3 สำหรับช่วงวัยต่างๆ ยังคงมีความเชื่อมโยงกันอยู่บ้างบนตัวฉลาก ซึ่งอาจจะเป็นสินค้าเก่า โดยกฎหมายให้เวลาในการปรับตัว 1 ปี โดย ก.ย. 2561 จะครบกำหนด ซึ่งจะต้องปรับเปลี่ยนฉลากให้ไม่มีความเชื่อมโยงกัน


นายจวน แซนแทนเดอร์ (Juan Santander) ผู้แทนองค์การยูนิเซฟและองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ มองว่า การให้เด็กดื่มนมแม่เป็นการลงทุนที่ดีที่สุด ทั้งฉลาดและประหยัด ช่วยให้เด็กแข็งแรง เติบโตดี มีภูมิต้านทานโรคลดการเจ็บป่วย เช่นอ้วน ไขมันในเลือดสูง หอบหืด เป็นต้น


ด้าน ดร.เรนู การ์ก (Dr.Renu Garg) ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ได้แสดงความชื่นชมรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยออก พ.ร.บ.นมผง ขึ้นมากำกับ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งการให้นมแม่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับทารก

Shares:
QR Code :
QR Code